แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจพบชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของกลางวางอย่างเปิดเผยในร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ของจำเลยโดยมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพของกลางดังกล่าวเลยทั้งจำเลยยังมีบิลเงินสดที่แสดงว่าจำเลยรับของกลางไว้เพื่อทำการซ่อมซึ่งเป็นฉบับซึ่งแทรกอยู่กับใบเสร็จฉบับอื่นจึงยากที่จำเลยจะทำเพิ่มเติมได้พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยรับของกลางไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 4 ร-5551 ไป ต่อมาในวันที่6 กุมภาพันธ์ 2538 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมล้อรถหน้าหลังฝาครอบเครื่องซ้ายขวา หน้ากากครอบไฟหน้า ตัวถังรถด้านหน้าและฝาครอบรถส่วนกลาง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและได้ยึดไว้เป็นของกลาง ทั้งนี้ โดยเมื่อวันที่19 มกราคม 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1820/2538 ของศาลอาญา ได้ร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปหรือมิฉะนั้นระหว่างวันเวลาดังกล่าวถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2538 ต่อเนื่องกัน จำเลยกับจำเลยทั้งสองในคดีอาญาดังกล่าวได้ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งเบาะรถ ท่อไอเสียแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษี ล้อรถหน้าหลังฝาครอบเครื่องซ้ายขวา หน้ากากครอบไฟหน้า ตัวถังรถด้านหน้าและฝาครอบรถส่วนกลางซึ่งเป็นทรัพย์บางส่วนของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายร่วมกันลักไป โดยจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1), 357, 83 ริบของกลาง และร่วมกันคืนรถจักรยานยนต์หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 71,929.74 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 จำคุก 3 ปี สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์และคำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2538 เวลาประมาณ 19 นาฬิกาได้มีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร4 ร-5551 ของบริษัทสยามรวมทุน จำกัด ผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนางสาวเพ็ญศิริ วีระธนานันท์ ไป ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2538 เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของกลางได้ 6 ชิ้น จากจำเลยตามบันทึกการตรวจค้นและยึดของกลางชิ้นส่วนเอกสารหมาย จ.7 ลำดับที่ 3ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่ ข้อที่ต้องพิจารณาข้อแรกคือ ชิ้นส่วนของกลางตามเอกสารดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายหรือไม่โจทก์มีนางสาวเพ็ญศิริ วีระธนานันท์ และนายกอบชัย แซ่เฮ้งเบิกความต้องกันว่า พยานจำได้ว่าชิ้นส่วนของกลางเป็นชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย เพราะชิ้นส่วนบางชิ้นมีตำหนิโดยเฉพาะนายกอบชัยเป็นผู้ล้างรถสัปดาห์ละ 2 ถึง 3 ครั้งจึงมีเหตุให้นายกอบชัยจำได้เป็นพิเศษ จ่าสิบตำรวจธนิต อยู่ศิริพยานโจทก์ ผู้จับกุมจำเลยและเป็นผู้ตรวจค้นหาของกลางก็เบิกความว่าเมื่อนายกอบชัยเห็นชิ้นส่วนดังกล่าว นายกอบชัยยืนยันทันทีว่าชิ้นส่วนของกลางคือชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเพราะชิ้นส่วนบางชิ้นมีตำหนิ และเมื่อนายกอบชัยนำกุญแจไปทดลองไขโครงรถชิ้นส่วนของกลางก็ไขได้ จำเลยมิได้ปฎิเสธเลยว่าชิ้นส่วนของกลางเป็นของผู้อื่น กลับอ้างว่ารับชิ้นส่วนมาจากนายธงชัยเพื่อทำการซ่อม แม้ในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบทำนองเดียวกันข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ชิ้นส่วนของกลางที่ยึดได้จากจำเลยตามเอกสารหมาย จ.7 ลำดับที่ 3 เป็นชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจริง ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า จำเลยรับชิ้นส่วนของกลางโดยรู้หรือไม่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบฟังได้ต้องกันว่า จำเลยมีอาชีพรับจ้างซ่อมรถจักรยานยนต์ จ่าสิบตำรวจธนิตและนายกอบชัยพยานโจทก์เบิกความว่า ชิ้นส่วนของกลางจำเลยได้วางไว้อย่างเปิดเผยในร้านสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีรอยตำหนิปรากฎอยู่ แสดงว่าจำเลยยังมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพชิ้นส่วนดังกล่าวเลย หากเป็นทรัพย์ที่จำเลยรับไว้โดยรู้ว่าได้มาโดยมิชอบแล้วจำเลยไม่น่าจะวางไว้โดยเปิดเผยและคงต้องรีบแก้ไขสภาพเดิมของชิ้นส่วนของกลางเพื่อมิให้เจ้าของจำได้ต่อไปกลับปรากฎว่าในชั้นจับกุมจำเลยให้การอ้างว่ารับชิ้นส่วนของกลางมาเพื่อทำการซ่อม ทั้งในการพิจารณาจำเลยได้นำบิลเงินสดเอกสารหมาย ล.6 ลำดับที่ 8 มาแสดงว่าจำเลยรับชิ้นส่วนของกลางจากนายธงชัยไว้เพื่อทำการซ่อมแซม ซึ่งเมื่อพิจารณาลำดับของใบเสร็จจะเห็นว่าใบเสร็จฉบับดังกล่าวแทรกอยู่กับใบเสร็จฉบับอื่นซึ่งมีการบันทึกไว้ตามลำดับ วัน เดือน ปี ที่จำเลยรับรถมาซ่อมจึงยากที่จำเลยจะทำเพิ่มเติมได้ พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมาย่อมแสดงได้ว่า จำเลยได้รับชิ้นส่วนของกลางมาไว้ในความครอบครองโดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน