แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทจำเลยยอมให้โจทก์ยืมชื่อไปทำการประมูล เมื่อโจทก์ประมูลได้ บริษัทจำเลยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของงานอยู่ ทั้งในการให้โจทก์เอาชื่อบริษัทจำเลยไปประมูลบริษัทจำเลยคิดเอาผลประโยชน์จากโจทก์ ดังนั้นการที่บริษัทจำเลยทำสัญญารับเหมากับการรถไฟจึงเป็นการออกหน้าเป็นตัวการ ทำสัญญาแทนโจทก์ โดยแสดงตนต่อการรถไฟว่าบริษัทจำเลยเป็นคู่สัญญา แท้จริงแล้วเป็นเพียงทำสัญญาแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อบริษัทจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิเอางานนี้ซึ่งเป็นของโจทก์มาทำสัญญาเป็นผู้จ้างให้โจทก์ผู้เป็นตัวการกลับกลายเป็นผู้รับจ้าง แม้โจทก์ลงนามในสัญญารับเหมาช่วง ก็หามีผลทำให้โจทก์กลับกลายเป็นผู้รับจ้างไปไม่ บริษัทจำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อโจทก์ในฐานเป็นตัวแทนของโจทก์เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จ การรถไฟรับมอบงานและจ่ายเงินให้บริษัทจำเลยรับมา จำเลยจึงมีหน้าที่ส่งเงินนั้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 การที่บริษัทจำเลยรับเงินที่โจทก์ทำงานเสร็จจากการรถไฟถือว่ารับมาแทนโจทก์บริษัทจำเลยไม่ส่งมอบเงินนั้นให้โจทก์ โจทก์ไม่สามารถทำงานงวดต่อไปได้ เป็นเหตุให้บริษัทจำเลยถูกการรถไฟปรับจึงเกิดจากความผิดของบริษัทจำเลยเอง บริษัทจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวนเงินที่ถูกปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812 เมื่อบริษัทจำเลยเสียค่าปรับให้การรถไฟไปแล้วจึงเรียกคืนจากโจทก์ไม่ได้.
โจทก์ซึ่งเป็นตัวการและบริษัทจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนตกลงกันว่า โจทก์ทำงานงวดใดเสร็จ ก็ให้บริษัทจำเลยส่งมอบงานนั้นแก่การรถไฟผู้ว่าจ้าง เพื่อขอรับเงินตามสัญญา แต่ตามสัญญากำหนดการจ่ายเงินไว้เป็นงวดๆ เมื่อทำเสร็จและการรถไฟรับมอบงานแล้ว การคิดผลประโยชน์ให้บริษัทจำเลยจึงคิดให้เมื่อโจทก์รับเงินมาแต่ละงวด หาได้คิดให้ในคราวเดียวกัน จำนวนรวมกัน 5% ของเงินที่ประมูลไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จงวดที่ 1 ได้รับเงินมาเพียงงวดเดียวก็ต้องเลิกทำ เพราะบริษัทจำเลยเป็นต้นเหตุ ไม่มอบเงินให้ บริษัทจำเลยจึงเรียกเอาได้เฉพาะ5% ของเงินงวดที่ 1 ที่ได้รับมาแล้ว จะเรียกเอา 5% ของเงินที่ยังไม่ได้รับมาจากการรถไฟหาได้ไม่
หนี้เงินซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งยังมีข้อต่อสู้อยู่ จะหักกันไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จะประมูลรับเหมาก่อสร้างบ้านพักพนักงานรถไฟที่สถานีทุ่งสงต่อการรถไฟแห่งประเทศไทย โจทก์จึงติดต่อตกลงกับนายนิยม อภิสุนันท์กรรมการอำนวยการของบริษัทจำเลย ขอยืมชื่อบริษัทจำเลยเพื่อใช้ในการประมูลนายนิยมยินยอมเรียกเอาผลประโยชน์จากโจทก์๕% ของราคาที่โจทก์ประมูลได้ โจทก์ในนามของบริษัทจำเลยเป็นผู้ประมูลได้ในราคารวมทั้งสิ้น ๑๔๘,๕๐๐ บาท โจทก์ได้ทำการก่อสร้างบ้านพักดังกล่าวจนเสร็จงานงวดที่ ๑ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้จำเลยไปรับเงินมาให้โจทก์ จำเลยได้ไปรับเงินค่าก่อสร้างของงานงวดที่ ๑ จากการรถไฟเป็นเงิน ๒๙,๗๐๐ บาท การรถไฟแห่งประเทศไทยได้หักไว้ ๑๐% จำเลยจึงได้รับมา ๒๖,๗๐๐ บาท
โจทก์ได้ไปขอรับเงินจากจำเลย ให้จำเลยหักส่วนของจำเลย ๕%ตามที่ตกลงกันไว้เป็นเงิน ๑,๓๓๖.๕๐ บาท คงเหลือเงิน ๒๕,๓๙๓.๕๐ บาทจำเลยไม่ยอมจ่ายให้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยส่งมอบเงินจำนวน ๒๕,๓๙๓.๕๐บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ทำสัญญารับเหมาช่วงไปจากจำเลย โจทก์จะเอานายปรุง คำประสาท มาเป็นผู้ค้ำประกันสัญญาด้วยแต่หาได้นำมาไม่ โจทก์ไม่สามารถจะทำงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดในสัญญาซึ่งจะต้องทำให้จำเลยผิดสัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทย และถูกการรถไฟปรับ โจทก์ได้ทิ้งงานเป็นเหตุให้การรถไฟบอกเลิกสัญญาก่อสร้างและเรียกค่าปรับเอาจากจำเลยเป็นเงิน ๕๔,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินที่โจทก์ฟ้องไว้เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยได้
จำเลยถูกการรถไฟปรับ ๕๔,๐๐๐ บาท ถูกการรถไฟริบเงินมัดจำที่วางไว้ ๔,๔๕๕ บาท ถ้าโจทก์ทำถูกต้องตามสัญญา เงินที่จำเลยควรได้จากโจทก์ตามสัญญาอีกร้อยละ ๕ ของค่าจ้าง เป็นเงิน ๗,๔๒๕ บาท และรวมทั้งจำเลยได้ใช้หนี้ให้แทนโจทก์ไปแล้ว ๑๐,๐๐๐ บาทด้วย ซึ่งรวมเป็น ๖๖,๘๘๐ บาท (ที่ถูกควรเป็น ๗๕,๘๘๐ บาท) เมื่อหักเงินงวดที่ ๑ที่จำเลยได้รับมาหมดแล้วจึงคงเหลือ ๔๐,๑๕๐ บาท (ที่ถูกควรเป็น ๔๙,๑๕๐ บาท) ซึ่งโจทก์ต้องรับผิดใช้ให้จำเลย จำเลยจึงขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ชำระให้จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้งของจำเลยว่าไม่เป็นความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินที่จำเลยรับมาจากการรถไฟฯในเมื่อหักดังต่อไปนี้แล้ว คือ การรถไฟหักไว้ ๑๐% ส่วนได้ของจำเลย๕% ค่าภาษีของจำเลย ๙๓๙.๕๐ บาท เงินค่าประกันที่จำเลยออกทดรองไป๔,๔๕๕ บาท คงเหลือเงินซึ่งจำเลยต้องจ่ายให้โจทก์ ๑๙,๘๕๐.๕๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในการประมูลรับเหมาก่อสร้าง บริษัทจำเลยเพียงแต่ยอมให้โจทก์ยืมชื่อไปทำการประมูล เมื่อโจทก์ประมูลได้บริษัทจำเลยก็ยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของงานอยู่ ทั้งในการให้โจทก์เอาชื่อบริษัทไปประมูล บริษัทจำเลยได้คิดเอาผลประโยชน์จากโจทก์ดังนั้น การที่บริษัทจำเลยทำสัญญารับเหมาหมาย ล.๔ กับการรถไฟจึงเป็นการออกหน้าเป็นตัวการทำสัญญาแทนโจทก์ โดยแสดงตนต่อการรถไฟว่าบริษัทจำเลยเป็นคู่สัญญาแท้จริงแล้วเป็นเพียงทำสัญญาแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อบริษัทจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิเอาเงินนี้ซึ่งเป็นของโจทก์มาทำสัญญาเป็นผู้จ้างให้โจทก์ผู้เป็นตัวการกลับกลายเป็นผู้รับจ้าง ฉะนั้น แม้โจทก์ได้ลงนามในสัญญารับเหมาช่วงหมาย ล.๓ ก็หามีผลทำให้โจทก์กลับกลายเป็นผู้รับจ้างไปไม่บริษัทจำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อโจทก์ในฐานเป็นตัวแทนของโจทก์ เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จ การรถไฟได้รับมอบงานและได้จ่ายเงินให้บริษัทจำเลยรับมา จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินนั้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๑๐ การที่บริษัทจำเลยรับเงินที่โจทก์ทำงานงวดที่ ๑ เสร็จมาจากการรถไฟ ถือว่ารับมาแทนโจทก์บริษัทจำเลยไม่ส่งมอบเงินนั้นให้โจทก์ โจทก์ไม่สามารถทำงานงวดต่อไปได้ เป็นเหตุให้บริษัทจำเลยถูกการรถไฟปรับ จึงเกิดจากความผิดของบริษัทจำเลยเอง ดังนั้น บริษัทจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวนเงินที่ถูกปรับนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๑๒เมื่อบริษัทจำเลยเสียค่าปรับให้การรถไฟไปแล้วจึงเรียกคืนจากโจทก์ไม่ได้
ส่วนตามที่โจทก์และบริษัทจำเลยตกลงกันว่า โจทก์ทำงานงวดใดเสร็จก็ให้บริษัทจำเลยส่งมอบงานนั้นแก่การรถไฟ เพื่อขอรับเงินตามสัญญาหมาย ล.๔ สัญญาหมาย ล.๔ กำหนดการจ่ายเงินไว้เป็นงวด ๆ เมื่อทำเสร็จและการรถไฟรับมอบงานแล้ว การคิดผลประโยชน์ให้บริษัทจำเลยจึงคิดให้เมื่อโจทก์ได้รับเงินมาแต่ละงวด หาได้คิดให้ในคราวเดียวเป็นจำนวนรวมกัน ๕% ของเงินที่ประมูลไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ทำงานก่อสร้างเสร็จไปงวดที่ ๑ ได้รับเงินมาเพียงงวดเดียวก็ต้องเลิกทำ เพราะบริษัทจำเลยเป็นต้นเหตุไม่มอบเงินให้ ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัทจำเลยเรียกเอาได้เฉพาะ ๕% ของเงินงวดที่ ๑ ที่ได้รับมาแล้ว จะเรียกเอา๕% ของเงินที่ยังไม่ได้รับมาจากการรถไฟหาได้ไม่
ส่วนที่จำเลยขอให้หักหนี้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ที่บริษัทจำเลยได้ชำระแทนโจทก์ไปตามเอกสารหมาย ล.๗ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จึงหักกันไม่ได้
พิพากษายืน