คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายเป็นคนอันธพาลและก่อเรื่องขึ้นก่อน ผู้ตายหยิบขวานจะลุกขึ้นทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงแย่งขวานได้แล้วฟันผู้ตาย 1 ที และเรียกให้คนช่วย จำเลยอื่น ๆ ได้เข้ามาช่วยทำร้ายผู้ตายถึงตายเช่นนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้อง กันตน ส่วนจำเลยนอกนั้นทำไปเพื่อป้องกันชืวิตจำเลยที่ 1 แต่จำเลยทำร้ายซ้ำ ๆจนผู้ตายถึงตาย จึงเป็นการเกิน สมควรแก่เหตุ./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อกลางคืนวันที่ ๑๖ – ๑๗ ตุลาคม ๒๔๙๕ จำเลยทั้งสี่สมคบกันใช้อาวุธทำร้ายนายเล็ก ถมเชียวถึงตายโดย เจตนา ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสี่ปฏิเสธต่อสู้อ้างฐานที่อยู่
ศาลชั้นต้นพิพากษาหาว่า จำเลยผิด ก.ม.ลักษรณะอาญามาตรา ๒๔๙, ๖๓ จำคุกคนละ ๑๕ ปี
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานโจทก์แตกต่างกันในข้อสำคัญ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้ทำร้ายนายเล็กจริง แต่กรณีเกิดเหตุจากนายเล็กผู้ตายเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นก่อน นายเล็กหยิบขวาน ขยับจะลุกขึ้น จำเลยที่ ๑ จึงเข้าแย่งขวานได้และฟันถูกหน้าผากนายเล็ก ๑ ที และในขณะนั้นจำเลยที่ ๑ ได้เรียกให้คน ช่วย จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ จึงได้ขึ้นมาช่วยจำเลยที่ ๑ ทำร้ายนายเล็กจนตาย การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการป้องกันตน และจำเลยที่ ๒ -๓ – ๔ ได้กระทำไปเพื่อป้องกันชีวิตนายดี + เพราะนายเล็กเป็นคนอันธพาล แต่การที่จำเลยทั้ ๔ ได้ทำ ร้ายซ้ำ ๆ กันจนนายเล็กถึงตายนั้น ฟังว่าเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษากลับว่าจำเลยผิดกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๔๙, ๕๐, ๕๓ จำคุกคนละ ๑ ปี ๖ เดือน ฯลฯ

Share