แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วัตถุประสงค์ที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้ตามหนังสือรับรองระบุว่า “(1) เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิดเช่น ประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางน้ำ ประกันภัยทางอุบัติเหตุประกันภัยทางชีวิต ประกันภัยสงคราม และประกันภัยวินาศกรรมอื่น ๆ” ดังนี้ แม้หนังสือรับรองดังกล่าวจะมิได้กล่าวถึงการประกันภัยทางอากาศไว้ แต่ประกันภัยทางอากาศย่อมรวมอยู่ในวัตถุประสงค์ที่กล่าวว่า “เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิด” เพราะการประกันภัยทางอากาศเป็นการประกันภัยชนิดหนึ่ง ดังนั้น โจทก์จึงมีวัตถุประสงค์ในการประกันภัยทางอากาศและมีอำนาจฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าสูญหายไปเมื่อใด และจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลสินค้าอย่างไร โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำต้องบรรยายในฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยเป็นผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติของจำเลย จำเลยได้มอบสินค้าที่รับขนส่งให้บริษัทการบินไทยจำกัด เก็บไว้ในคลังสินค้าเพื่อรอส่งขึ้นเครื่องบินไปยังต่างประเทศอันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่สินค้าได้ส่งไปโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดจำเลยผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในการที่สินค้านั้นสูญหายอันเกิดแต่ความผิดของผู้ขนส่งคนอื่นหรือบุคคลอื่น ซึ่งจำเลยได้มอบหมายสินค้านั้นไปอีกทอดหนึ่งและต้องรับผิดร่วมกันกับผู้ขนส่งรายอื่นด้วย ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 617 และ 618 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 238,433.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องดังนี้ คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับจำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้องคือ 238,433.30 บาท ซึ่งจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 5,960 บาท แต่ศาลชั้นต้นคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาโดยรวมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยยื่นฎีกาเข้าเป็นทุนทรัพย์จำนวน298,531.50 บาท ด้วย และให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 7,462.50 บาท จำเลยจึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมาจำนวน 1,502.50 บาท ศาลฎีกาชอบที่จะสั่งให้คืนเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาแก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ได้ส่งสินค้าเครื่องประดับ โดยบรรจุใส่กล่องจำนวน 1 กล่อง จากประเทศไทยเพื่อไปจำหน่ายให้แก่ผู้ซื้อที่ประเทศฝรั่งเศษ โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ขนส่งสินค้ารายนี้ พร้อมทั้งเป็นตัวแทนนำสินค้าไปผ่านพิธีการศุลกากรในการส่งสินค้าออกด้วย จำเลยตกลงรับจ้างและรับสินค้าจากห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ไว้เพื่อดำเนินการตามที่รับจ้าง โดยจำเลยออกใบตราส่งสินค้าทางอากาศให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์และจะนำสินค้าไปผ่านพิธีการศุลกากรเพื่อส่งมอบให้แก่สายการบินส่งสินค้ารายนี้ต่อไปอีกทอดหนึ่ง อันเป็นการขนส่งสินค้าด้วยวิธีมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดในการขนส่งสินค้าเครื่องประดับดังกล่าวนี้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ได้เอาประกันภัยสำหรับความเสียหายหรือสูญหายที่จะเกิดแก่สินค้าในระหว่างการขนส่งไว้แก่โจทก์หลังจากจำเลยได้รับมอบสินค้าดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์แล้วจำเลยไม่ใช้ความระมัดระวังในการขนถ่ายสินค้า ปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้สินค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์สูญหายไปทั้งหมด ซึ่งจำเลยในฐานะผู้ขนส่งและในฐานะตัวแทนจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ตามกฎหมายเป็นจำนวนเงิน 238,433.30 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระจึงได้ทวงถามจากโจทก์ตามสัญญาประกันภัย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยพิจารณาแล้วเห็นว่าสินค้าได้สูญหายไปทั้งหมดในระหว่างการขนส่งของจำเลยจริง จึงได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ไปเป็นจำนวนเงิน 238,433.30 บาท โจทก์ได้รับช่วงสิทธิจากห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ตามกฎหมาย พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิรับช่วงสิทธิที่จะฟ้องจำเลยคดีนี้ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่า สินค้าที่รับประกันภัยและได้หายไปมีอะไรบ้าง สินค้าหายในวัน เวลา สถานที่ใดสินค้าหายไปอย่างไร และอยู่ในความครอบครองดูแลของผู้ใดจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังทำให้สินค้าหายได้อย่างไรและโจทก์ใช้ค่าเสียหายให้แก่เจ้าของสินค้าที่หายไปเมื่อใดทำให้จำเลยเสียเปรียบ ไม่อาจต่อสู้คดีได้ จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังดูแลสินค้าดังกล่าวและมิได้ปล่อยปละละเลยให้สินค้าดังกล่าวหายไปแต่อย่างใด ความสูญหายมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย หากจำเลยจะต้องรับผิดก็ไม่ควรเกิน 20 เหรียญสหรัฐต่อ 1 กิโลกรัม เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 238,433.30 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีวัตถุประสงค์รับประกันภัยทางอากาศหรือไม่ เห็นว่า วัตถุประสงค์ที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่า”(1) เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิด เช่น ประกันอัคคีภัยประกันภัยทางน้ำ ประกันภัยทางอุบัติเหตุ ประกันภัยทางชีวิตประกันภัยสงคราม และประกันภัยวินาศกรรมอื่น ๆ” ดังนี้แม้หนังสือรับรองดังกล่าวจะมิได้กล่าวถึงการประกันภัยทางอากาศไว้ แต่ประกันภัยทางอากาศย่อมรวมอยู่ในวัตถุประสงค์ที่กล่าวว่า “เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิด” เพราะการประกันภัยทางอากาศเป็นการประกันภัยชนิดหนึ่ง ดังนั้น โจทก์จึงมีวัตถุประสงค์ในการประกันภัยทางอากาศและมีอำนาจฟ้องคดีนี้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าสินค้านั้นสูญหายไปเมื่อใด จำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลสินค้าอย่างใด จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบ เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้วข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่จำต้องบรรยายในฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาข้อต่อไปที่จำเลยฎีกามีว่า สินค้าสูญหายไปในระหว่างอยู่ในความครอบครองของคลังสินค้าบริษัทการบินไทย จำกัดซึ่งอยู่นอกเหนือวิสัยของจำเลยจะดูแลรักษาได้ จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจใช้ความระมัดระวังไม่ให้สินค้าหายได้จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางการค้าปกติของจำเลย จำเลยได้มอบสินค้าที่รับขนส่งให้บริษัทการบินไทย จำกัด เก็บไว้ในคลังสินค้าเพื่อรอส่งขึ้นเครื่องบินไปยังต่างประเทศอันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป ดังนี้จึงเป็นกรณีที่สินค้าได้ส่งไปโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอด จำเลยผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในการที่สินค้านั้นสูญหายอันเกิดแต่ความผิดของผู้ขนส่งคนอื่น หรือบุคคลอื่นซึ่งจำเลยได้มอบหมายสินค้านั้นไปอีกทอดหนึ่ง และต้องรับผิดร่วมกันกับผู้ขนส่งรายอื่นด้วย ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 617 และ 618และกรณีเช่นนี้หาใช่เป็นเหตุสุดวิสัยอันจะทำให้จำเลยพ้นจากความรับผิดไม่ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากห้างหุ้นส่วนจำกัดอินเตอร์เจมส์ผู้ส่ง
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 238,433.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง ดังนี้คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับจำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้องคือ 238,433.30 บาท ซึ่งจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 5,960 บาท แต่ศาลชั้นต้นคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา โดยรวมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยยื่นฎีกาเข้าเป็นทุนทรัพย์จำนวน 298,531.50 บาทด้วย และให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 7,462.50 บาทจำเลยจึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมาจำนวน 1,502.50 บาทศาลฎีกาเห็นสมควรคืนเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาแก่จำเลย
พิพากษายืน