คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6722/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 และ 96 แสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ 2 วิธี วิธีแรก เจ้าหนี้มีประกันใช้สิทธิตามมาตรา 95 โดยถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันโดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินนั้น ดังนี้ กำหนดเวลาให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายใน 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา 91 จึงไม่มี และหากบังคับชำระหนี้เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้มีประกันย่อมหมดสิทธิขอรับชำระหนี้ที่ยังขาดอยู่จากทรัพย์สินอื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย วิธีที่สอง โดยเจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายภายใต้เงื่อนไขมาตรา 96 ซึ่งมีอยู่ 4 ประการในประการใดประการหนึ่ง
ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 96 (3) หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วได้เงินมายังไม่พอชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ และการขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 96 ต้องยื่นภายใน 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา 91
พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 95 และ 96 แยกให้เห็นข้อแตกต่างในวิธีการขอรับชำระหนี้และข้อแตกต่างในผลของการใช้สิทธิมาตราใดมาตราหนึ่ง เจ้าหนี้มีประกันชอบที่จะเลือกใช้สิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 95 หรือมาตรา 96 มาตราใดมาตราหนึ่งเท่านั้น เมื่อผู้ร้องเลือกใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 96 (3) แล้ว ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรา 95 อีกต่อไป
ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 เจ้าหนี้มีประกันไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย เพียงแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่าจะถือเอาสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็น หลักประกันและจะต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าตรวจดูทรัพย์สินเท่านั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งว่าให้ได้รับชำระหนี้หรือไม่ ดังนั้น คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านในคดีนี้ที่เคยอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 95 จึงไม่ถูกต้องแม้จะกลับมามีคำสั่งใหม่เป็นว่า ไม่อนุญาตในภายหลังซึ่งล่วงเลยมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี คำสั่งของผู้คัดค้านในครั้งก่อนและในครั้งหลังจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสิทธิของผู้ร้องตามกฎหมาย เพราะไม่ทำให้ผู้ร้องได้สิทธิหรือเสียสิทธิ เมื่อผู้ร้องได้ใช้สิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันโดยขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายตามมาตรา 96 แล้ว ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ คดีอยู่ระหว่างการรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินจำนวน ๑๖ โฉนด ในขณะทำสัญญาจำนองจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ผู้ร้องอยู่ ๔ ประเภท คือ ๑. หนี้เงินกู้ (เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินไทยและเงินกู้ส่วนที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐ) ๒. หนี้เงินกู้ระยะสั้น ๓. หนี้ค่าปรับในการยกเลิกสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ๔. หนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทสยามราษฎร์ จำกัด เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๑ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านในมูลหนี้เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินไทย หนี้เงินกู้ระยะสั้นและหนี้ค่าปรับในการยกเลิกสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๖ (๓) และเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๑ ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านในมูลหนี้เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐ และหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทสยามราษฎร์ จำกัด อย่างเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๕ สำหรับคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ นั้น ผู้คัดค้านมีหมายแจ้งคำสั่งลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๒ ให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ ส่วนคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ คดีถึงที่สุด ต่อมาวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ผู้ร้องได้รับหมายนัดลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๑ จากผู้คัดค้านแจ้งว่าผู้ร้องเลือกใช้สิทธิตามมาตรา ๙๖ แล้ว ย่อมหมดสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรา ๙๕ อีกต่อไป ผู้คัดค้านจึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๕ เสียทั้งสิ้น ซึ่งผู้คัดค้านไม่มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านและให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๖ แล้ว ย่อมหมดสิทธิ ที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันอีกต่อไป ผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในมูลหนี้เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐและหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดเวลาที่ขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้อีกต่อไป คงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๖ (๓) เท่านั้น คำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้เพิกถอนคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้เป็นคำสั่งที่ชอบ ส่วนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) นั้น ได้พิจารณาแต่เพียงสิทธิในการได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) มิได้พิจารณาถึงสิทธิในการได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกัน มีสิทธิที่จะเลือกใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๕ หรือมาตรา ๙๖ เหนือทรัพย์อันเป็นหลักประกันเพียงมาตราเดียว คือหากใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ แล้ว ก็ย่อมหมดสิทธิที่จะถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรา ๙๕ อีกต่อไป ผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ส่วนที่เหลือภายในกำหนดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา ๙๑ เมื่อผู้ร้องยื่นคำขอครั้งที่ ๒ หลังจากการยื่นครั้งแรกถึง ๔ เดือน ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้อีก ผู้คัดค้านอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้โดยเข้าใจข้อกฎหมายผิดหลงก็ย่อมมีสิทธิที่จะเพิกถอนได้ คำสั่งของผู้คัดค้านชอบแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้สำหรับหนี้เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินไทย หนี้เงินกู้ระยะสั้น และหนี้ค่าปรับในการยกเลิกสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ๓ รายการ อย่างเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๖ (๓) แล้ว ผู้ร้องจะใช้สิทธิขอรับชำระหนี้เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐและหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินอีก ๒ รายการ อย่างเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๕ ได้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๕ บัญญัติว่า “เจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินนั้น” มาตรา ๙๖ บัญญัติว่า “เจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) เมื่อยินยอมสละทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายแล้วขอรับชำระหนี้ได้เต็มจำนวน (๒) เมื่อได้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ (๓) เมื่อได้ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ (๔) เมื่อตีราคาทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่…” บทบัญญัติของมาตราทั้งสองนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ ๒ วิธี วิธีแรก เจ้าหนี้มีประกันใช้สิทธิตามมาตรา ๙๕ โดยถือสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันโดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินนั้น ดังนี้ กำหนดเวลาให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายใน ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา ๙๑ จึงไม่มี และหากบังคับชำระหนี้เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้มีประกันย่อมหมดสิทธิขอรับชำระหนี้ที่ยังขาดอยู่จากทรัพย์สินอื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย วิธีที่สอง โดยเจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายภายใต้เงื่อนไขมาตรา ๙๖ ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการ ในประการใดประการหนึ่งกล่าวโดยเฉพาะผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันในคดีนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) ในกรณีนี้หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วได้เงินมายังไม่พอชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ และการขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ ต้องยื่นภายใน ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตามมาตรา ๙๑ บทบัญญัติทั้งสองมาตราแยกให้เห็นข้อแตกต่างในวิธีการขอรับชำระหนี้และข้อแตกต่างในผลของการใช้สิทธิมาตราใดมาตราหนึ่ง ดังนั้น เจ้าหนี้มีประกันชอบที่จะเลือกใช้สิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา ๙๕ หรือมาตรา ๙๖ มาตราใดมาตราหนึ่งเท่านั้น เมื่อผู้ร้องเลือกใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) แล้ว ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรา ๙๕ อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐและหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามมาตรา ๙๕ นั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการต่อไปมีว่า การที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา ๙๕ แล้วผู้คัดค้านจะเพิกถอนคำสั่งเดิมนี้ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ โดยมีหมายแจ้งคำสั่งลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๒ ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ ก่อนที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๖ (๓) ตามคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ๕๐/๒๕๓๔ ของศาลอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ผู้คัดค้านจึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ นั้นเสีย ซึ่งผู้ร้องฎีกาในข้อนี้ว่า คำสั่งที่อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ ล่วงเลยมานานเกือบ ๑๐ ปี และคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๕ เจ้าหนี้มีประกันไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย เพียงแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่าจะถือเอาสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันและจะต้องยอมให้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าตรวจดูทรัพย์สินเท่านั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งว่าให้ได้รับชำระหนี้หรือไม่แต่ประการใด ดังนั้น คำสั่งของผู้คัดค้านในคดีนี้ที่เคยอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๙๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๒ จึงไม่ถูกต้อง แม้จะกลับมามีคำสั่งใหม่เป็นว่าไม่อนุญาตในภายหลังซึ่งล่วงเลยมาเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี คำสั่งของผู้คัดค้านในครั้งก่อนและในครั้งหลังจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสิทธิของผู้ร้องตามกฎหมาย เพราะไม่ทำให้ผู้ร้องได้สิทธิหรือเสียสิทธิแต่ประการใด เมื่อผู้ร้องได้ใช้สิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันโดยขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายตามมาตรา ๙๖ แล้ว ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันสำหรับหนี้เงินกู้ส่วนที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐและหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามมาตรา ๙๕ ดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้น เมื่อวินิจฉัยมาดังนี้แล้ว ฎีกาของผู้ร้องในปัญหาอื่นนอกจากนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีและไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share