แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
หนังสือเลิกจ้างระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์ว่า จำเลยไม่มีความจำเป็นที่จะจ้างโจทก์ต่อไป การที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมีความจำเป็นต้องยุบเลิกตำแหน่งของโจทก์เพื่อปรับภาวะทางเศรษฐกิจของจำเลยจึงเป็นสาเหตุเดียวกัน แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยสาเหตุอื่นมาด้วยก็ไม่เป็นการนอกเหนือเหตุในหนังสือเลิกจ้าง และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควรไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน 78,000 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อเลิกจ้างโดยไม่มีความผูกพันจะต้องจ่าย แต่โจทก์ไม่สนองรับโดยมีหนังสือถึงธนาคารที่รับฝากเงินเดือนของโจทก์ห้ามมิให้รับเงินที่จำเลยจะจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์ คำเสนอของจำเลยจึงสิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคารมิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้ใช้เงินและค่าเสียหาย จำเลยทั้งสี่ให้การว่ามีสิทธิเลิกจ้างได้ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 3 แล้ววินิจฉัยว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นธรรมแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหาย โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานล่วงเวลาค่าจ้างทำงานให้บริษัทอื่น สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินโบนัส โจทก์คงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินบำเหน็จ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ร่วมกันชำระเงินจำนวน 232,716.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “กรณีเรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยระบุเหตุผลในการเลิกจ้างว่าบริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะจ้างท่านต่อไป เป็นการระบุเหตุเลิกจ้างไว้โดยชัดแจ้ง ย่อมแสดงว่าจำเลยถือเอาเหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้าง โดยมิได้ถือเอาเหตุอื่นด้วย จำเลยจะยกเอาเหตุอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาข้อนี้ศาลแรงงานกลางฟังว่าสาเหตุแห่งการเลิกจ้างสรุปได้ว่า เนื่องจากจำเลยไม่พอใจผลการทำงานของโจทก์และความประพฤติส่วนตัวที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงานกับมีความจำเป็นที่จำเลยต้องยุบเลิกตำแหน่งของโจทก์อันเป็นการปรับภาวะทางเศรษฐกิจของจำเลย ซึ่งเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างตามที่จำเลยได้ให้การไว้แล้ว และสาเหตุเลิกจ้างประการที่สองก็เป็นสาเหตุเดียวกับที่ระบุในหนังสือเลิกจ้างที่ว่าบริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะจ้างโจทก์ต่อไปนั่นเอง แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยสาเหตุเลิกจ้างอื่นมาด้วย ก็ไม่เป็นการนอกเหนือเหตุในหนังสือเลิกจ้างแต่อย่างใดและศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุมีความจำเป็นที่จำเลยต้องยุบเลิกตำแหน่งของโจทก์นั้นถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควร หาใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
กรณีเงินบำเหน็จ จำเลยอุทธรณ์ว่า สำหรับเงินจำนวน 78,000 บาทซึ่งศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เงินบำเหน็จเมื่อออกจากงานไม่มีกฎหมายหรือข้อตกลงให้จำเลยต้องจ่ายแก่โจทก์โดยชัดแจ้งคงมีข้อเท็จจริงเพียงว่าถ้าลูกจ้างทำงานครบ 20 ปีและมีอายุ 50 ปี จำเลยจะพิจารณาจ่ายให้ แต่รายของโจทก์ไม่เข้าข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงอยู่ในดุลพินิจของจำเลยที่จะจ่ายให้หรือไม่ก็ได้ ซึ่งปรากฏตามเอกสารหมายจ.1 ข้อ 6 ว่า จำเลยสมัครใจที่จะจ่ายเงินพิเศษให้โจทก์เป็นจำนวน78,000 บาท ดังนี้แม้ไม่มีหลักเกณฑ์หรือกรณีของโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะจ่าย โจทก์ก็ควรมีสิทธิได้รับตามที่จำเลยแสดงเจตนาให้แล้วนั้น เห็นว่า ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.1 จำเลยได้ยื่นข้อเสนอที่จะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ 78,000 บาท แต่โจทก์ไม่สนองรับกลับมีหนังสือถึงธนาคารที่โจทก์มีบัญชีเงินฝากมิให้ธนาคารรับเงินที่จำเลยจะจ่ายให้เข้าบัญชีของโจทก์ คำเสนอของจำเลยจึงสิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่มีความผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ปรากฏชัดเจนจากเอกสารหมาย จ.12 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ออกให้โจทก์ระบุว่าสิทธิของโจทก์ควรได้รับเงินนี้เป็นจำนวน212,795.43 บาท เพราะจำเลยได้แสดงเจตนาออกมาอย่างชัดแจ้งแล้วถือเป็นนิติกรรมผูกพันจำเลย ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์เต็มตามจำนวนดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยไม่มีความผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ดังวินิจฉัยมาข้างต้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์
กรณีค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลยที่ 1 หรือหัวหน้าแผนกในเรื่องการขอสะสมวันลาหยุดพักผ่อนประจำปีแต่อย่างใด อีกทั้งโจทก์ก็มิได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบให้ศาลแรงงานกลางเห็นว่า โจทก์อาศัยสิทธิอะไรในการเรียกเงินจากการมิได้ใช้วันหยุดพักผ่อนประจำปี ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่าในปี 2530โจทก์มีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ 23 วัน เมื่อโจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2530 จำนวน 23 วันให้แก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 45 อุทธรณ์ข้อนี้จำเลยฟังไม่ขึ้น
กรณีเงินโบนัสประจำปี โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสเพราะโจทก์ยังทำงานไม่ครบปีนั้นโจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยเลิกจ้างโจทก์เสียก่อนโดยมิได้เป็นความผิดของโจทก์ เห็นว่า นายจ้างจะจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างหรือไม่ จ่ายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของนายจ้างและปกติจะจ่ายให้ต่อเมื่อสิ้นรอบปีในทางบัญชี หากนายจ้างมีผลกำไรจากการประกอบกิจการจึงจะพิจารณาจ่ายโบนัสให้ลูกจ้างเมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างก่อนสิ้นรอบปีโดยที่ยังไม่ทราบว่าการประกอบกิจการของจำเลยจะมีผลกำไรหรือไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสจากจำเลย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
กรณีค่าชดเชย จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใด ๆ เพราะโจทก์ทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพและโจทก์ทำงานผิดพลาดหลายครั้ง โดยเฉพาะการป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ผิดพลาดซึ่งโจทก์กระทำด้วยความประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(5) เห็นว่าจำเลยหาได้ให้การถึงความข้อนี้ไว้ไม่ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนดอกเบี้ยของค่าชดเชยที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ไม่รับเงินที่จำเลยนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์นั้น เกิดจากจำเลยจ่ายให้ไม่ถูกต้องตามสิทธิที่โจทก์ควรได้รับ เท่ากับเป็นการบังคับให้โจทก์รับชำระหนี้บางส่วน อันเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยไม่ชอบจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย จ.1 จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคารมิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วเมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้โจทก์จึงตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชยไม่ได้ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
กรณีเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพ จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายให้โจทก์ เพราะจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการกระทำความผิดของโจทก์ เห็นว่า จำเลยมิได้ยกเหตุดังกล่าวขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยของเงินจำนวนนี้ด้วยนั้น เห็นว่า กรณีก็เป็นเช่นเดียวกับอุทธรณ์ของโจทก์ในเรื่องดอกเบี้ยเกี่ยวกับค่าชดเชยซึ่งจำเลยได้เสนอให้เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวนตามฟ้องแก่โจทก์แล้วในเอกสารหมายจ.1 เช่นเดียวกัน เมื่อโจทก์ปฏิเสธจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้จากจำเลย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1, 2, 4 ไม่ต้องจ่ายเงินบำเหน็จจำนวน 78,000 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง”