คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4762/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องนำเงินของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ผู้ร้องส่งศาลตามที่ศาลมีคำสั่งอายัดชั่วคราวนั้น เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลที่ออกหมายอายัดไป แม้ในตอนแรกมิได้โต้แย้งคัดค้านก็ตาม แต่เมื่อภายหลังพบว่าได้ส่งไปให้เกินกว่าจำนวนเงินของจำเลยที่ 1 จะถือว่าผู้ร้องยอมรับว่าเป็นเงินของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดหาได้ไม่ เมื่อผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนที่ได้ส่งเฉพาะส่วนที่เกินไป จึงเท่ากับอ้างว่ามิใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องจึงมีสิทธิติดตามเอาคืนในฐานที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยขอให้ศาลทำการไต่สวนและมีคำสั่งคืนให้แก่ผู้ร้องได้.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมากจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์ 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ศาลได้มีคำสั่งอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษาให้ผู้ร้องนำเงินของจำเลยที่ 1ซึ่งอยู่ที่ผู้ร้องส่งศาล ผู้ร้องได้นำเงินจำนวน 347,683 บาทส่งศาลแล้ว
ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำนวนเงินที่ส่งศาลนั้นเป็นของจำเลยที่ 1 เพียง 200,000 บาท เงินอีก 147,683 บาท เป็นของผู้ร้องขอให้คืนแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของผู้ร้องแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในจำนวนเงิน 147,683 บาท ที่ได้ส่งเกินมาผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนเงินจำนวนที่ส่งเกินมาให้แก่ผู้ร้องในฐานที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ การที่ผู้ร้องนำเงินส่งศาลเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลที่ออกหมายอายัดไป แม้ผู้ร้องนำเงินส่งศาลแล้วในตอนแรกมิได้โต้แย้งคัดค้านก็ตาม ภายหลังพบว่าได้ส่งมาให้ศาลเกินกว่าจำนวนเงินของจำเลยที่ 1 จะถือว่าผู้ร้องยอมรับว่าเป็นเงินของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดหาได้ไม่ เมื่อผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนที่ได้ส่งศาลไว้เฉพาะส่วนที่เกินเท่ากับอ้างว่ามิใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องจึงมีสิทธิติดตามเอาคืน โดยขอให้ศาลทำการไต่สวนและมีคำสั่งคืนให้แก่ผู้ร้องได้
พิพากษายืน.

Share