แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.เป็นเพียงลูกจ้างของโจทก์ มีหน้าที่ในการขับรถไม่มีหน้าที่ลงลายมือชื่อในเช็คของโจทก์แทนโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมในการปลอมลายมือชื่อในเช็คพิพาท นอกจากนี้ ป.เบิกเงินตามเช็คพิพาทไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน2529 ดังนั้นแม้ ว.และส.ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จะได้ทราบว่าเช็คพิพาทหายไปจากสมุดเช็คในวันที่27 พฤศจิกายน 2529 ก็ตาม ว.และส.ก็แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานทราบเพื่อไม่ให้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ทันอยู่ดี การที่ ว.และส. มิได้แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 ทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ก่อความเสียหายขึ้นโดยตรง โจทก์จึงไม่เป็นผู้ตัองตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1 จ่ายเงินของจำเลยที่ 1 ไปโดยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจดูลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของผู้แทนโจทก์ที่ให้ไว้แก่ธนาคารจำเลยที่ 1 ให้ดีเสียก่อนนั้นเป็นเพียงเหตุที่ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายไม่อาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารของโจทก์ได้เท่านั้นจึงเป็นกรณีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ เพราะโจทก์ยังคงมีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ตามสัญญาฝากเงินตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันได้ตามกฎหมายต่อเมื่อธนาคารจำเลยที่ 1หักเงินจากบัญชีของโจทก์และปฏิเสธที่จะคืนเงินให้โจทก์ตามจำนวนเงินที่เหลืออยู่เดิมจึงได้ก่อข้อโต้แย้งสิทธิตามสัญญาฝากเงินขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ หาใช่จำเลยที่ 2และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ขึ้นตั้งแต่ที่จ่ายเงินไปโดยประมาทเลินเล่อนั้นไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3ให้รับผิดฐานละเมิด ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2513 โจทก์ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานใช้ชื่อว่าธนาคารออมสิน สาขาพาน บัญชีเลขที่ 234 จำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานได้มอบสมุดเช็คให้แก่โจทก์เพื่อใช้ในการเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวเมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม2529 นายวุฒ มั่นที่สุด ผู้จัดการของโจทก์สาขาพานได้ตรวจพบว่ารายการบัญชีลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2529 มีการหักเงินจากบัญชีของโจทก์เลขที่ 234 ตามเช็คของจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานฉบับลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2529 เงินจำนวน 300,000 บาทเป็นการไม่ถูกตอ้ง เพราะโจทก์ไม่ได้สั่งจ่ายเช็คฉบับดังกล่าวและโจทก์มิเคยได้รับเงินจำนวนดังกล่าว โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพาน ให้ชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ยอมชดใช้โดยแจ้งว่าได้จ่ายเงินให้แก่นายประดิษฐ์ สารสุข ไปตามคำสั่งของผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์โดยชอบแล้ว เกี่ยวกับเช็คฉบับดังกล่าวโจทก์ทราบว่ามีผู้กระทำการทุจริตลักเช็คไปแล้วปลอมลายมือชื่อของนายสวัสดิ์ วงศ์แก้วและนายสุรเดช รัตนลัคซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ชั้น ก.ให้เป็นผู้มีอำนาจในการสั่งจ่ายเช็ค จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการเป็นผู้อนุมัติและจำเลยที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงินให้แก่นายประดิษฐ์ สารสุข ไป จึงเป็นกรณีที่จำเลยผู้รับฝากทรัพย์มิได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คให้ถูกต้องตรงกับตัวอย่างลายมือชื่อที่โจทก์ให้ไว้ตามเงื่อนไขในการเปิดบัญชีที่โจทก์ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำผิดพลาดและบกพร่องในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คทั้งยังมิได้สงวนรักษาทรัพย์สินของโจทก์เหมือนเช่นที่เคยประพฤติในกิจการของจำเลยเองการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรับผิดร่วมกันและแทนกันชำระเงินจำนวน 300,000 บาท ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน2529 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 351 วัน เป็นดอกเบี้ย 21,636.99 บาทรวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวน 321,636.99 บาท คืนแก่โจทก์กับให้จำเลยจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ที่ 3มิได้ประมาทเลินเล่อในการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังความละเอียดรอบคอบ และความสุจริตเช่นที่เคยประพฤติปฏิบัติมาในกิจการของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ได้ตรวจสอบลายมือชื่อผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ตามเงื่อนไขและวิธีการที่ตกลงไว้กับจำเลยที่ 1 ทุกประการขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่25 พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยจำนวนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 21,636.99 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ในข้อแรกมีว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.11เป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.11 เป็นลายมือชื่อปลอม มิใช่ลายมือชื่อของนายสวัสดิ์และนายสุรเดชตัวแทนของโจทก์
ปัญหาข้อที่ 2 ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์เป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้ต่อจำเลยที่ 1หรือไม่ ในปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 1 ให้การอ้างว่า หากศาลฟังว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม การปลอมก็เกิดจากตัวแทนของโจทก์เป็นผู้กระทำ ทั้งผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาพานละเลยไม่แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานทราบว่าเช็คถูกลัก ถือได้ว่าโจทก์ก่อความเสียหายโดยตรง จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำสืบยืนยันว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คเป็นลายมือชื่อปลอมจึงเป็นเหตุให้ไม่ได้นำสืบว่า นายวุฒิ นายสวัสดิ์ และนายสุรเดช สมคบกับนายประดิษฐ์ปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.11 ดังนั้นแม้จะได้ความตามข้อนำสืบของโจทก์ว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.11 เป็นลายมือขื่อปลอม และนายประดิษฐ์เป็นผู้นำเช็คดังกล่าวไปเบิกเงินแล้วหลบหนีไม่ไปทำงานตามปกติอีก พฤติการณ์ส่อแสดงว่านายประดิษฐ์เป็นผู้ปลอมหรือร่วมในการปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.11 ดังกล่าวก็ตาม ก็ไม่ปรากฏว่านายวุฒิ นายสวัสดิ์ และนายสุรเดช ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ได้ร่วมในการปลอมลายมือชื่อดังกล่าว นายประดิษฐ์เป็นเพียงลูกจ้างของโจทก์ มีหน้าที่ในการขับรถ ไม่มีหน้าที่ลงลายมือชื่อในเช็คแทนโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมในการปลอมลายมือชื่อในเช็คเอกสารหมาย จ.11 นอกจากนี้นายประดิษฐ์เบิกเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.11 ไป ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2529 ดังนั้นแม้นายวุฒิและนายสุรเดชจะได้ทราบว่าเช็คหมายเลข มพ/เอ็มพีแอล 104643 หายไปจากสมุดเช็คในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2529เนื่องจากนายวุฒิและนายสุรเดชได้สั่งจ่ายเช็คหมายเลขมพ/เอ็ม พี แอล 104642 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2529 ตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างก็ตาม นายวุฒิและนายสุรเดชก็แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานทราบเพื่อไม่ให้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ทันอยู่ดี การที่นายวุฒิและนายสุรเดชตัวแทนของโจทก์มิได้แจ้งให้ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพานทราบว่าเช็คหมายเลข มพ/เอ็ม พี แอล 104643 ถูกลักจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ก่อความเสียหายขึ้นโดยตรง โจทก์จึงไม่เป็นผู้ต้องตัดบท มิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 1
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อให้โจทก์เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับผิดจึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จ่ายเงินของจำเลยที่ 1 ไปโดยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจดูลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คเอกสารหมาย จ.11 เทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของผู้แทนโจทก์ที่ให้ไว้แก่ธนาคารจำเลยที่ 1สาขาเมืองพานให้ดีเสียก่อนนั้น เป็นเพียงเหตุที่ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายไม่อาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารโจทก์สาขาพานได้เท่านั้น จึงเป็นกรณีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ เพราะโจทก์ยังคงมีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ตามสัญญาฝากเงินตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันได้ตามกฎหมาย ต่อเมื่อธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเมืองพาน หักเงินจากบัญชีของโจทก์และปฏิเสธที่จะคืนเงินให้โจทก์ตามจำนวนเงินที่เหลืออยู่เดิมจึงได้ก่อข้อโต้แย้งสิทธิตามสัญญาฝากเงินขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ หาใช่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ขึ้นตั้งแต่ที่จ่ายเงินไปโดยประมาทเลินเล่อนั้นไม่โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดฐานละเมิดที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้ออื่น
พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์