คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มอบที่นาพิพาทให้สามีจำเลยทำกินตั้งแต่ปี 2488 ต่อมาปี 2492 สามีจำเลยขอรังวัดออกโฉนด โจทก์ร้องคัดค้าน ดังนี้ ถือว่าสามีจำเลยแสดงออกแล้วว่าจะเอาที่นานั้นเสียเอง มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป โจทก์หาได้ฟ้องคดีเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองจากสามีจำเลยไม่ จำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ 2497 แย่งการออกโฉนดกับโจทก์จนโจทก์ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ปล่อยให้จำเลยยึดถือที่ดินเพื่อตนเองเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์จะเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหาได้ไม่
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิ์ครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิ์ในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิ์ครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับสามีซึ่งวายชนม์แล้ว ได้จับจองที่ดินแปลงหนึ่ง เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๓ งาน ใช้สิทธิ์ครอบครองโดยสุจริต เปิดเผยและมีเจตนาเป็นเจ้าของ ต่อมาโจทก์ได้ขายที่ดินให้นายสงวน ๘ ไร่ เจ้าพนักงานออกโฉนดให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายสงวน โจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน ๒๐ ไร่ ๓ งาน แต่ปรากฏว่าจำเลยนี้ร้องขอรังวัดที่ดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยซ้ำขึ้นมาเช่นกัน ขอให้ศาลพิพากษาห้ามมิให้จำเลยขัดขวางการรังวัดออกโฉนดของโจทก์ ฯลฯ
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของบิดามารดาสามีจำเลย สามีจำเลยตายจำเลยจึงรับมรดก และมีกรรมสิทธิ์และสิทธิ์ครอบครองที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้มอบที่นาแปลงนี้ให้สามีจำเลยซึ่งเป็นบุตรเลี้ยงโจทก์ทำกินตั้งแต่ราวปี ๒๔๘๔ ต่อมาปี ๒๔๙๒ สามีจำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดเป็นของตน โจทก์ไปร้องคัดค้านไว้ ตอนนั้นสามีจำเลยแสดงออกแล้วว่าจะเอาที่นานั้นเสียเอง มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป โจทก์ก็หาได้ฟ้องคดีเรียกเอาคืนการครอบครองจากสามีจำเลยไม่ ปล่อยให้สามีจำเลยกับจำเลยทำนาพิพาทจนกระทั่งสามีจำเลยตายเมื่อปี ๒๔๙๖ จำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดเมื่อปี ๒๔๙๗ แย่งการขอออกโฉนดกับโจทก์จนโจทก์ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี โจทก์ก็หาได้ดำเนินคดีเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ นับแต่ปี ๒๔๙๗ จนถึงวันโจทก์ฟ้อง คือวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๐๖ เป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี ปล่อยให้จำเลยยึดถือที่ดินเพื่อตนเองเป็นเวลาเกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์จะเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหาได้ไม่
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มิได้สละละทิ้งที่พิพาท คดียังไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิ์ครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิ์ในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้นหรือมีผู้อื่นยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยการแย่งย่อมได้สิทธิ์ครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่ง ฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายในกำหนด ๑ ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด ก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ กำหนดให้ฟ้อง จะใช้วิธีอื่นหาได้ไม่
พิพากษายืน.

Share