คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 67-68/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้การซื้อขายที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินมิได้ทำถูกต้องตามแบบนิติกรรมซื้อขายอันเป็นโมฆะก็ตามแต่เมื่อผู้ขายสละเจตนาครอบครองให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองแล้วผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครองตั้งแต่ผู้ขายสละการครอบครองส่วนที่ผู้ซื้อต้องการให้ผู้ขายไปโอนทางนิติกรรมอีก ก็เพื่อให้เป็นหลักฐานแน่นแฟ้นเท่านั้นและกรณีเช่นนี้ไม่เป็นสัญญาจะซื้อขาย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลพิจารณารวมกัน

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดินให้โจทก์ ต่อมาจำเลยจะขายที่ดินที่ขายให้โจทก์แล้วนั้นให้แก่ผู้มีชื่ออีก ขอให้แสดงว่าที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ได้สละการครอบครองทิ้งแต่อย่างใด

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า น่าเชื่อว่าจำเลยได้ตกลงขายให้โจทก์ทั้งสองแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เมื่อขายแล้วจำเลยได้ย้ายไปอยู่ต่างอำเภอโดยเจตนาจะไม่กลับมาอีก ภาษีบำรุงท้องที่ก็ไม่ได้เสีย แสดงว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองที่พิพาทแล้ว การครอบครองที่พิพาทของจำเลยย่อมสุดสิ้นลง การที่จำเลยให้นายเล็กโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทก็เพราะได้ซื้อแล้ว ก็เท่ากับได้ทำการโอนการครอบครองให้นายเล็กโจทก์แล้ว และการที่นายออดโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทซึ่งได้ซื้อไว้มาก่อนจำเลยตกลงขายให้ การโอนการครอบครองก็อาจทำเพียงแสดงเจตนาต่อกันก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 และ 1379 แม้การซื้อขายจะมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบนิติกรรมการซื้อขายเป็นโมฆะโจทก์อาจได้สิทธิครอบครองที่พิพาทโดยจำเลยผู้ขายสละเจตนาครอบครองให้การซื้อขายที่กระทำดังกล่าวได้ความว่า จำเลยบอกขายที่พิพาทให้โจทก์ ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองเพื่อโจทก์เองได้ทันที จึงมิใช่สัญญาจะซื้อขายดังจำเลยฎีกา โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่พิพาทอยู่แล้วตั้งแต่จำเลยแสดงเจตนาสละการครอบครอง การที่โจทก์ยังต้องการให้จำเลยไปโอนทางนิติกรรมอีกนั้น ก็เพื่อให้เป็นหลักฐานแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเท่านั้น เมื่อการครอบครองของจำเลยสุดสิ้นลงแล้ว โจทก์จึงหาได้ยึดถือที่ดินแทนจำเลยไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share