แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปรากฏจากบันทึกว่า ผู้เสียหายได้กล่าวหาจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนว่าบุกรุกที่ดินผู้เสียหาย ในที่สุดจำเลยที่ 1 กับพวกรับว่าได้บุกรุกและยอมออกไปจากที่ดินของผู้เสียหายแต่จำเลยที่ 1 คนเดียวไม่ยอมออกไป คงครอบครองที่ดินนั้นตลอดมา ถือได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 ได้ยอมความกันโดยตกลงเลิกคดีกันแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) การที่จำเลยที่ 1 ผิดเงื่อนไขไม่ยอมออกไปจากที่ดินเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่ามิได้มีการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 โจทก์จะฎีกาว่ามีการร่วมกันบุกรุกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันบุกรุกเข้าไปทำไร่ในที่ดินบางส่วนของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายแถลงไม่ติดใจเอาความจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ จำคุก ๖ เดือน ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ และยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสำหรับนายเม้ยจำเลยที่ ๑ ปรากฏจากรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๕ เอกสารหมาย จ.๑๕ ว่า นายเจียกผู้เสียหายได้กล่าวหานายเม้ยจำเลยที่ ๑ และนายบัวลา นายสำราญรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้เสียหาย ในที่สุดนายเม้ยจำเลยกับพวกอีกสองคนดังกล่าว รับว่าได้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินผู้เสียหายจริงและยอมออกไปจากที่ดินของผู้เสียหายหลังจากเก็บมันสำปะหลังที่ปลูกไว้แล้ว และปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายเม้ยจำเลยที่ ๑ คนเดียวไม่ยอมออกไปจึงครอบครองที่ดินนั้นตลอดมาจนบัดนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ เป็นความผิดอันยอมความกันได้ และข้อตกลงระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ ๑ ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันเอกสารหมาย จ.๑๕ ถือได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยที่ ๑ ยอมความกันโดยตกลงเลิกคดีที่กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ บุกรุกเอาที่ดินของผู้เสียหายแล้วสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๑ ของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๒) ตั้งแต่วันที่ทำยอมกันตามเอกสารหมาย จ.๑๕ โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อฟื้นคดีที่ยุติแล้วมาฟ้องจำเลยที่ ๑ อีก แม้จะฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ผิดเงื่อนไขไม่ยอมออกไปจากที่ดินของผู้เสียหายตามที่ยอมความไว้ในเอกสารหมาย จ.๑๕ ก็เป็นเรื่องของโจทก์จะดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ เป็นอีกเรื่องหนึ่งหาก
คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้นั้นเห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องต้องกันมาโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่า มิได้มีการร่วมกันกระทำความผิด ฎีกาโจทก์ที่ว่าการร่วมกันบุกรุกซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐
พิพากษายืน