คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6695/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วแลกเงิน เป็นการคิดในอัตราสินเชื่อผิดนัด แต่อัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นอัตราดอกเบี้ยไม่ผิดนัด โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ผู้ทำสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์และจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทในอัตราดอกเบี้ยไม่ผิดนัด การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในอัตราสินเชื่อผิดนัดตามประกาศธนาคารโจทก์เอกสารหมาย จ. 58 เป็นการคิดดอกเบี้ยผิดไปจากสัญญาที่ระบุไว้โดยไม่มีสิทธิที่จะคิดได้โดยชอบ จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบด้วยมาตรา 26 และ ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้ตามเลตเตอร์ออฟเครดิต ทรัสต์รีซีท ค้ำประกัน และจำนอง จำนวน 172,137,928.79 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 115,888,406.70 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จนครบถ้วน หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองตามคำฟ้องและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 172,137,928.79 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราลอยตัวตามประกาศธนาคารโจทก์แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ตามโจทก์ขอโดยคำนวณจากต้นเงิน 115,888,406.70 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดด้วยเป็นเงินคนละ 20,000,000 บาท มิฉะนั้นให้บังคับจำนองเอาจากเครื่องจักรเลขที่ 28-326-302-0001 ถึง 28-326-302-0024 และที่ดินตามโฉนดเลขที่ 241776 ชำระหนี้ภายในวงเงินที่จำนอง หากเงินไม่พอแก่หนี้ ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ต่อไปจนกว่าจะครบ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าทนายความให้โจทก์จำนวน 80,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าทนายความให้โจทก์จำนวน 15,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีท 7 ฉบับ และตั๋วแลกเงิน 7 ฉบับ รวมทั้งสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 2 และตั๋วแลกเงินฉบับที่ 2 ดังกล่าวข้างต้นเป็นการคิดดอกเบี้ยในอัตราสินเชื่อผิดนัดตามประกาศธนาคารโจทก์เอกสารหมาย จ. 58 ซึ่งสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 1 ฉบับที่ 3 ฉบับที่ 4 ฉบับที่ 5 ฉบับที่ 6 และฉบับที่ 7 กับตั๋วแลกเงินฉบับที่ 1 ฉบับที่ 3 ฉบับที่ 4 ฉบับที่ 5 ฉบับที่ 6 และฉบับที่ 7 มีข้อความเหมือนกับข้อความในสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 2 และตั๋วแลกเงินฉบับที่ 2 ในสาระสำคัญทุกประการ ต่างกันเฉพาะในรายละเอียดเกี่ยวกับหมายเลขเลตเตอร์ออฟเครดิต วันที่ระบุในตั๋วแลกเงิน จำนวนเงินตามตั๋วแลกเงิน ตัวเลขอัตราดอกเบี้ย และวันครบกำหนดชำระหนี้เท่านั้น และได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 2 เป็นอัตราดอกเบี้ยไม่ผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ผู้ทำสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์และจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทของจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยไม่ผิดนัด การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในอัตราสินเชื่อผิดนัดตามประกาศธนาคารโจทก์เอกสารหมาย จ. 58 เป็นการคิดดอกเบี้ยผิดไปจากสัญญาที่ระบุไว้โดยไม่มีสิทธิที่จะคิดได้โดยชอบ จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบด้วยมาตรา 26 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) …
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 7 แก่โจทก์จำนวน 9,968,465.25 บาท จำนวน 20,109,358.43 บาท จำนวน 15,045,275.63 บาท จำนวน 4,956,227.31 บาท จำนวน 9,029,003.39 บาท จำนวน 20,948,984.98 บาท และจำนวน 30,738,754.76 บาท ตามลำดับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินแต่ละจำนวนใน 7 จำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 วันที่ 22 พฤศจิกายน 2540 วันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 วันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 วันที่ 13 พฤษภาคม 2541 วันที่ 25 พฤศจิกายน 2540 และวันที่ 19 ธันวาคม 2540 ตามลำดับ จนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 อันเป็นวันฟ้องในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไป ซึ่งขึ้นลงตามประกาศธนาคารโจทก์ เรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลด ที่ใช้บังคับอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 17.75 ต่อปี ร้อยละ 17.75 ต่อปี ร้อยละ 17.75 ต่อปี ร้อยละ 17.75 ต่อปี ร้อยละ 16.75 ต่อปี ร้อยละ 18.25 ต่อปี และร้อยละ 18.25 ต่อปี ตามสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 7 ตามลำดับ และชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินแต่ละจำนวนใน 7 จำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 อันเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไปซึ่งขึ้นลงตามประกาศธนาคารโจทก์ เรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลด ที่ใช้บังคับอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ตามคำขอบังคับท้ายคำฟ้องของโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วมในต้นเงินจำนวน 20,109,358.43 บาท ตามสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 2 เป็นเงินตามสัญญาค้ำประกัน จำนวนคนละ 20,000,000 บาท และร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวนคนละ 20,000,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2540 ถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 อันเป็นวันฟ้องในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไป ซึ่งขึ้นลงตามประกาศธนาคารโจทก์ เรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลด ที่ใช้บังคับอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 17.75 ต่อปี ตามสัญญาทรัสต์รีซีท ฉบับที่ 2 และในดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 อันเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไป ซึ่งขึ้นลงตามประกาศธนาคารโจทก์ เรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลด ที่ใช้บังคับอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ตามคำขอบังคับท้ายคำฟ้องของโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

Share