แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำว่าไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148(3)เป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งยกฟ้องโจทก์แล้วถ้าโจทก์นำคดีไปฟ้องใหม่จะเป็นการฟ้องซ้ำเพื่อความยุติธรรมก็ให้ศาลมีอำนาจสั่งว่าไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่มิใช่ว่าถ้าศาลไม่สั่งไว้แล้วจะเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีซึ่งฟ้องใหม่ได้อยู่แล้วเพราะไม่เป็นฟ้องซ้ำมาฟ้องใหม่ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2266 พร้อมบ้านเลขที่ 17/1 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2530 จำเลยเช่าที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวในอัตราค่าเช่าเดือนละ 500 บาท สิ้นสุดการเช่าในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2530 เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่เคยชำระค่าเช่าให้โจทก์และขอผัดผ่อนเรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม2531 โจทก์ต้องการบ้านและที่ดินคืน จำเลยขอเวลาเพื่อหาที่อยู่ใหม่ในวันเดียวกันจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมบ้านจากโจทก์มีกำหนดเวลา 3 เดือน โดยจะชำระค่าเช่าที่ค้างตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2530 ถึงเดือนพฤษภาคม 2531 เป็นเงิน 6,000 บาทพร้อมกับค่าเช่าอีก 3 เดือน เป็นเงิน 1,500 บาท เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ คิดเป็นค่าเช่าที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2530 ถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 15,000 บาทโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินและบ้านและชำระค่าเช่าที่ค้างกับมอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวแล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2266 ตั้งอยู่ตำบลกลาย อำเภอท่าศาลาจังหวัดนครศรีธรรมราช และบ้านเลขที่ 17/1 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ค้างค่าเช่า นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2530ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทนับแต่เดือนที่ฟ้องเป็นต้นไปแก่โจทก์ จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและค่านำคดีนี้ฟ้องต่อศาลแขวงนครศรีธรรมราชมาแล้วจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2266 ตำบลกลายอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช และบ้านเลขที่ 17/1 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไปให้จำเลยใช้ค่าเช่าและค่าเสียหายจำนวน 15,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เคยนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงนครศรีธรรมราช ศาลแขวงนครศรีธรรมราชมีคำสั่งว่า เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาจึงให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องของโจทก์และการดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งหมด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และมีคำสั่งใหม่ไม่รับฟ้องของโจทก์ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คดีถึงที่สุด ศาลฎีกาเห็นว่าศาลแขวงนครศรีธรรมราชมิได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแต่อย่างใด เพียงแต่มีคำสั่งไม่รับฟ้องและจำหน่ายคดีเท่านั้น โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลแขวงนครศรีธรรมราชมิได้มีคำสั่งว่าไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) เท่ากับตัดสิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่นั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจศาลในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งยกฟ้องโจทก์แล้ว ถ้าโจทก์นำคดีไปฟ้องใหม่จะเป็นการฟ้องซ้ำ เพื่อความยุติธรรมก็ให้ศาลมีอำนาจสั่งว่า ไม่ตัดสิทธิโจทก์จะนำคดีมาฟ้องใหม่หาใช่ว่าศาลไม่สั่งไว้แล้วจะเป็นการตัดสิทธิโจทก์จะนำคดีซึ่งฟ้องใหม่ได้อยู่แล้วมาฟ้องใหม่ไม่ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน