คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6681/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมายในกรณีที่ไม่ปรากฏชัดว่าเจ้าของรวมแต่ละคนมีส่วนคนละเท่าใดเท่านั้น จึงให้สันนิษฐานว่าเจ้าของรวมแต่ละคนมีส่วนเท่ากัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทต่างแบ่งแยกครอบครองที่ดินกันเป็นส่วนสัด ย่อมแสดงให้เห็นว่าต่างประสงค์ที่จะยึดถือที่ดินส่วนที่ตนครอบครองเป็นของตนจึงไม่อาจนำข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับได้ การที่โจทก์จำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินร่วมกันก็ไม่ใช่ข้อที่จะฟังว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด กรณีต้องแบ่งที่ดินพิพาทตามส่วนที่แต่ละคนครอบครอง โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2) ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 43642 โจทก์ประสงค์จะรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 2 แปลง เท่า ๆ กัน โดยแบ่งเป็นแปลงทิศตะวันตกและทิศตะวันออก โจทก์ให้จำเลยไปดำเนินการยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปยื่นคำขอรังวัดที่ดินและจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินดังกล่าวเป็นจำนวนเนื้อที่ 2188 ในจำนวน 4376 ส่วน โดยให้มีรูปที่ดินตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้อง และให้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรังวัดคนละครึ่ง หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัดแน่นอนก่อนที่จะขอออกโฉนดแล้ว ถ้าจะแบ่งกรรมสิทธิ์ก็ต้องแบ่งตามส่วนสัดที่แต่ละฝ่ายได้ครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยไปรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 43642 ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ได้ที่ดินทางด้านทิศใต้มีแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยกึ่งกลางร่องน้ำตามรูปแผนที่เอกสารหมาย ล.2 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าว ให้โจทก์และจำเลยออกกันคนละกึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 จะให้สันนิษฐานไว้ก่อนวาผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากันก็เป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมายในกรณีที่ไม่ปรากฏชัดว่า เจ้าของรวมแต่ละคนมีส่วนคนละเท่าใดเท่านั้นจึงจะให้สันนิษฐานว่าเจ้าของรวมแต่ละคนมีส่วนเท่ากันแต่เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏชัดแล้วว่าโจทก์และจำเลยต่างแบ่งแยกครอบครองที่ดินพิพาทกันเป็นส่วนสัดย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยต่างประสงค์ที่จะยึดถือที่ดินส่วนที่ตนครอบครองเป็นของตนจึงไม่อาจนำข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวแล้วมาใช้บังคับได้ การที่โจทก์จำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินร่วมกันไม่ใช่ข้อที่จะฟังว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่โจทก์ฎีกา กรณีต้องแบ่งที่ดินพิพาทตามส่วนที่แต่ละคนครอบครองตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ล.2 กล่าวคือโจทก์ได้ที่ดินทางด้านทิศใต้ที่โจทก์ครอบครองส่วนจำเลยได้ที่ดินทางด้านทิศเหนือที่จำเลยครอบครองโดยมีร่องน้ำเป็นแนวเขต ไม่อาจแบ่งเป็นแปลงทิศตะวันออกและทิศตะวันตกให้มีเนื้อที่เท่ากันตามที่โจทก์ขอได้ และการที่ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดินดังกล่าวไม่เกินคำขอของโจทก์เพราะโจทก์ขอแบ่งที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่งศาลย่อมพิพากษาให้โจทกได้รับแต่ส่วนแบ่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2) ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share