แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญาจากจำเลย จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า หนี้ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระตามสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้จำเลยจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาไม่ได้ เพราะจำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (อ้างฎีกาที่ 1490/2498)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้เงินโจทก์และผิดนัดไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า ไม่เคยกู้เงินโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญากู้หากเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ จริง ก็เกิดโดยการทุจริตของจำเลยที่ ๑กับโจทก์สมคบกันหลอกลวงให้จำเลยที่ ๒ ลงชื่อ จำเลยที่ ๒ ได้กระทำโดยปราศจากความรู้สึกผิดชอบ เพราะเป็นใบ้มาแต่กำเนิดซึ่งโจทก์ทราบดี และศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ ๒ เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ นิติกรรมจึงเป็นโมฆียะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๒ ยังมีสติรู้จักผิดชอบ และได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไปจริง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คงมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ว่า หนี้เงินกู้รายที่โจทก์ฟ้องยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ผิดสัญญา ไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ภายในกำหนดวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า ไม่เคยกู้เงินและรับเงินจากโจทก์ และปฏิเสธลายเซ็นชื่อในสัญญากู้ หากเป็นลายเซ็นของจำเลยที่ ๒ จริง ก็เกิดจากการทุจริตของจำเลยที่ ๑ กับโจทก์สมคบกันหลอกลวงให้จำเลยที่ ๒ ลงชื่อนอกจากนั้นก็ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นใบ้ มีร่างกายไม่สมประกอบปราศจากความรู้สึกผิดชอบ จำเลยที่ ๒ มิได้ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะหนี้รายนี้ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระตามสัญญาแต่ประการใดเลย เมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้ตั้งประเด็นยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๐/๒๔๙๘
พิพากษายืน