คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4942/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เมื่อหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้เงินที่มีอยู่ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ด ขาด โจทก์จึงต้องไปดำเนินการขอรับชำระหนี้ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ศาลฎีกาจึงสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ได้รับบัตรส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าหรือภาษีการค้า จำเลยนำเข้าเครื่องจักร เพื่อใช้ในกิจการที่ได้รับการส่งเสริม โดยได้รับยกเว้นอากาขาเข้า และภาษีการค้ารวม 6 ครั้งต่อมาในเวลา 5 ปี นับแต่จำเลยนำเข้า จำเลยได้ขายเครื่องจักรบางส่วนแก่ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุมัติเป็นการผิดเงื่อนไข จำเลยจึงไม่ได้รับยกเว้นภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลจำเลยไม่ยื่นขอชำระภาษีให้เสร็จ ภายใน 30 วัน นับแต่จำเลยขายเครื่องจักรไป พนักงานโจทก์อายัดเครื่องจักร และประเมินราคาตามสภาพเพื่อเรียกเก็บภาษี จำเลยต้องเสียภาษีอากรขาเข้า1,942,194.06 บาท ภาษีการค้า 484,258.48 บาท ภาษีบำรุงเทศบาล46,942.37 บาท รวมเป็น 2,477,376.90 บาท โจทก์แจังให้จำเลยตกลงระงับคดี และชำระภาษี จำเลยชำระเฉพาะค่าภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล 535,182.85 บาท ภาษีอากรขาเข้าจำเลยไม่ชำระจำเลยขอผัดผ่อน ต่อมาไม่ยอมชำระ จึงต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน ของเงินที่ค้างชำระนับแต่วันส่งของให้จำเลยจนถึงวันที่จำเลยชำระ คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,183,385.34 บาทรวมเป็นเงิน 3,125,579.40 บาท ขอให้จำเลยชำระเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือนของอากรขาเข้าที่ค้างจำนวน 1,942,194.06 บาท เป็นเงินเดือนละ19,421.94 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ไม่ได้จงใจฝ่าฝืนเงื่อนไขเพราะจำเลยมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการตลอด พนักงานของจำเลยไม่รายงานให้คณะกรรมการจำเลยทราบและไม่แจ้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนบริษัทที่ซื้อเครื่องจักรไปเป็นบริษัทในเครือของจำเลยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีหนังสือเพิกถอนสิทธิของจำเลยเมื่อ 17 มิถุนายน2530 จำเลยมีสิทธิชำระค่าภาษีโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง หากจำเลยต้องชำระ โจทก์เรียกเก็บเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ20 ของเงินที่ต้องเสียเพิ่ม ตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 112 ตรี โจทก์เรียกตามมาตรา 112 อัตรา เป็นเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน ก็ต้องไม่เกินร้อยละ 20 ตามมาตรา 112 ตรีขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัยพ์เด็ดขาดแล้ว ตามหนังสือแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลแพ่งลงวันที่ 25 ตุลาคม2532 และโจทก์ได้แถลงรับไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางลงวันที่ 24 ตุลาคม 2533 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวนั้นศาลฏีกา เห็นว่าหนี้ที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นหนี้เงินที่มีอยู่ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงเห็นสมควรให้โจทก์ไปดำเนินการขดรับชำระหนี้ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาต่อไป”
ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมด ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ.

Share