คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีทำร้ายภริยาไม่ถึงบาดเจ็บ ภริยาไม่ยอมอยู่กับสามี สามีส่งเงินไปให้ทางธนาณัติ ภริยาไม่ยอมรับ ภริยาฟ้องหย่าไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2495 โจทก์ได้ทำการสมรสกับจำเลยตามกฎหมาย และได้อยู่กินร่วมกันที่บ้านจำเลย ตำบล และอำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี ต่อมาประมาณ 3 เดือน โจทก์ตั้งครรภ์จำเลยกับญาติพี่น้องก็หาเรื่องด่าว่าทุบตีโจทก์ ทั้งขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน ทารกในครรภ์ จำเลยก็ว่าไม่ใช่ของจำเลย เมื่อโจทก์คลอดบุตร จำเลยไม่เอาใจใส่ดูแลรักษาพยาบาล และจำเลยไม่ยอมแจ้งทะเบียนว่า เด็กนั้นเป็นบุตร ทั้งไม่อุปการะเลี้ยงดูอย่างบุตร จำเลยด่าว่าเสียดสีถึงบุพพการีโจทก์เนือง ๆ โจทก์ทนไม่ได้ต้องกลับไปอยู่กับบิดามารดาหลายครั้ง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2499 โจทก์ไม่สามารถทนอยู่ร่วมกับจำเลยได้ จึงต้องอาศัยบ้านผู้อื่นอยู่ และต่อมาได้ไปอยู่กับบิดามารดาโจทก์ตลอดมาจนบัดนี้ พฤติการณ์ของจำเลย เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากับโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จำเลยไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างสามีภริยาทั้งหลาย ทั้งจำเลยไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตร โจทก์ขอหย่ากับจำเลยโดยดี จำเลยก็ไม่ยอม จึงขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้จำเลยไปจดทะเบียนการหย่าหากจำเลยไม่ไป ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาจดทะเบียนการหย่าของจำเลย ให้บุตรอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์

จำเลยให้การรับว่า เป็นสามีโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่า ไม่ได้ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากับโจทก์อย่างร้ายแรง จำเลยและญาติพี่น้องจำเลยไม่เคยด่าว่าทุบตีโจทก์จนฟกช้ำ และไม่เคยขับไล่โจทก์ จำเลยได้รักใคร่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์เป็นอย่างดีเมื่อโจทก์คลอดบุตร และอยู่ที่โรงพยาบาล จำเลยได้ไปเยี่ยมเยือนและจัดอาหารไปให้ และจำเลยได้แจ้งทะเบียนเด็กเกิด และรับรองบุตรของจำเลยไว้ที่สำนักงานทะเบียนท้องถิ่น อำเภอราษฎร์บูรณะ จำเลยไม่เคยเสียดสีด่าว่าบุพพการีของโจทก์ การที่บิดามารดาของโจทก์รับบุตรจำเลยไปเลี้ยงดู ก็เป็นความประสงค์ของบิดามารดาโจทก์เองการที่โจทก์ไปอยู่กับบิดามารดาโจทก์ ก็เพราะโจทก์ขอร้องว่า จะเรียนวิชาตัดเสื้อ ซึ่งจำเลยไม่กล้าขัดขืน มิใช่โจทก์ไม่สามารถอยู่กับจำเลยได้ จำเลยยังรักใคร่และเห็นใจโจทก์อยู่ เพราะเคยมีบุตรด้วยกัน จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง และเสียค่าธรรมเนียมค่าทนายแทนจำเลย

ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามทางพิจารณาเหตุหย่าที่โจทก์อ้างไม่ต้องด้วย มาตรา 1500 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าธรรมเนียมค่าทนายให้เป็นพับ

โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืน โจทก์จึงฎีกาคัดค้านต่อมาว่า ควรให้มีการหย่ากัน เพราะ (1) โจทก์ทนอยู่กับจำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยทุบตี (2) โจทก์จำเลยไม่ได้อยู่ร่วมกันมา 2 ปีแล้ว และ (3) จำเลยไม่ได้อุปการะเลี้ยงดู

ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อเท็จจริงโจทก์นำสืบว่า เมื่ออยู่กินด้วยกันตอนแรกมีทุบตีกันบ้างเล็กน้อย ต่อมา 2 เดือน โจทก์ก็ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน บิดาโจทก์ไปประเทศปากีสถาน โจทก์ขออนุญาตไปส่ง จำเลยไม่อนุญาต โจทก์ก็ดื้อไป แล้วเลยไปค้างบ้านมารดา 1 คืน รุ่งขึ้นจำเลยไปรับโจทก์ก็ไม่ยอมกลับ จึงเกิดเถียงกันและจำเลยว่าลูกในท้องไม่ใช่ลูกของเขา เดือนธันวาคม พ.ศ. 2495โจทก์คลอดบุตร จำเลยทราบทางโทรศัพท์ก็ไปเยี่ยม เมื่อเด็กมีอายุได้ขวบเศษ บิดามารดาจำเลยมารับโจทก์กลับไปอยู่กับจำเลย ส่วนบุตรคงอยู่กับมารดาโจทก์ ไปอยู่กับจำเลยได้ 3 วัน โจทก์กลับบ้านมารดาโจทก์อีก ต่อมาบิดามารดาโจทก์นำโจทก์ไปส่งจำเลย เป็นเช่นนั้น3 ครั้ง โจทก์เลยหนีจำเลยไปอยู่กับบิดามารดาโจทก์ ตั้งแต่สิงหาคม2497 จนกระทั่งบัดนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2499 จำเลยส่งเงินทางธนาณัติไปให้โจทก์ และโจทก์ไม่รับ เหตุที่ไม่รับ เพราะเมื่อก่อนจำเลยไม่เคยส่ง มารดาโจทก์เป็นผู้เลี้ยงดูบุตรโจทก์จำเลย นางอิ่มมารดาโจทก์เคยเห็นแผลที่โจทก์ถูกตีมา และเคยใส่ยาหม่องให้

จำเลยนำสืบแก้ว่า ไม่เคยทุบตีโจทก์เลย เมื่ออยู่กินกับโจทก์ได้ 6 เดือน บิดาโจทก์ไปต่างประเทศ มารดาโจทก์ขอให้โจทก์ไปอยู่เป็นเพื่อน โจทก์จึงไป เมื่อบิดาโจทก์กลับมาแล้ว จำเลยไปรับโจทก์ โจทก์ก็ไม่กลับ จำเลยขอให้บิดาและพี่ชายจำเลยไปรับโจทก์ก็ไม่กลับ ราวเดือนมกราคม 2496 โจทก์กลับไปอยู่กับจำเลยได้ 3 วัน ต่อจากนั้นก็กลับบ้านโจทก์แล้วก็ไป ๆ มา ๆ ในที่สุดเมื่อ 10 เมษายน 2496 โจทก์ไปจากบ้านจำเลย แล้วไม่กลับจนกระทั่งบัดนี้ ในระหว่างที่โจทก์อยู่บ้านมารดา จำเลยไปเยี่ยมเสมอ จนวันที่ 15 กรกฎาคม 2496 มารดาโจทก์ห้ามไม่ให้จำเลยติดต่อกับโจทก์แม้กระนั้น จำเลยก็ส่งเงินไปให้โจทก์ทางธนาณัติครั้งละ 100 บาทถึง 6 ครั้ง ซึ่งโจทก์ไม่ยอมรับ นายหลาย วรรณศิริกุล พี่ชายจำเลยเบิกความว่า เหตุที่โจทก์อยู่กับจำเลยไม่ได้เป็นเพราะจำเลยมีรายได้น้อย ไม่สามารถให้ความสุขแก่โจทก์ได้ ส่วนเงินนั้น จำเลยส่งให้โจทก์โดยให้นายหลายเอาไปให้บ้าง ส่งไปทางธนาณัติบ้าง รวมทั้งสิ้นประมาณ 10 ครั้ง นางกุลซึ่งอยู่ห้องแถวติดกับห้องจำเลยเบิกความว่า ไม่เคยเห็นโจทก์จำเลยทุบตีกันเลย ครั้งสุดท้ายที่โจทก์ออกจากบ้านยังฝากกุญแจบ้านไว้กับนางกุล

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์กล่าวในฎีกาข้อแรกของตนว่าตนอยู่กับจำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยทุบตีเอานั้น จำเลยนำสืบว่าไม่เคยทุบตีโจทก์เลย และโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บ แม้นางอิ่มมารดาโจทก์จะเบิกความว่า เคยเห็นแผลที่โจทก์ถูกตีมา และเคยใส่ยาให้ ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีบาดแผลถึงบาดเจ็บ ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะยกขึ้นเป็นเหตุหย่าได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) ฎีกาข้อแรกของโจทก์จึงตกไป

ฎีกาข้อ 2 ของโจทก์ที่ว่า โจทก์จำเลยไม่ได้อยู่ร่วมกันมาถึง 2 ปีเศษแล้วนั้น ทางพิจารณาได้ความว่า เหตุที่ไม่ได้อยู่ร่วมกัน ก็เพราะโจทก์ไม่ยอมอยู่ร่วมกับจำเลยเอง จำเลยเป็นสามีมีสิทธิเลือกที่อยู่ การที่โจทก์แยกไปอยู่ที่อื่น แสดงว่าโจทก์เองปฏิบัติหน้าที่ของภรรยาตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้ในฐานะที่ทิ้งร้างโจทก์ไป ตามมาตรา 1500(3) หาใช่เป็นเหตุที่ให้สิทธิโจทก์ฟ้องจำเลยดังโจทก์อ้างไม่ โจทก์เข้าใจกฎหมายผิดตรงกันข้ามกับที่ตัวบทได้บัญญัติไว้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงตกไปอีก

สำหรับฎีกาข้อ 3 ของโจทก์ที่ว่า จำเลยไม่อุปการะเลี้ยงดูนั้น จำเลยนำสืบได้ว่า ได้ส่งเงินไปให้โจทก์ทางธนาณัติครั้งละ 100 บาท เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 6 ครั้ง แต่โจทก์ไม่ยอมรับเอง โจทก์จึงมาฟ้องหาว่าจำเลยไม่อุปการะเลี้ยงดูไม่ได้ ฎีกาข้อสุดท้ายของโจทก์เป็นอันตกไปเช่นเดียวกัน

อาศัยเหตุต่าง ๆ ดังได้วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ให้ยกเสีย โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ทุกประการค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ ให้โจทก์เสียค่าทนายชั้นฎีกาให้จำเลย 50 บาท

Share