คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6679/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่ ต. ลงชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้ ซ.ฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นต. ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ แม้ภายหลัง ต. จะลาออกหนังสือมอบอำนาจนั้นคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เหตุที่ ต. พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ หาได้ทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์สิ้นสุดตามไปไม่ ท. ทราบว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาดก่อนที่จะนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ เมื่อ ท.เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยทราบ จึงถือว่าจำเลยทราบด้วย เมื่อผู้สั่งจ่ายเช็คถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยต้องนำเช็คไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27,91การที่จำเลยนำเช็คของผู้สั่งจ่ายไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ทั้งที่รู้อยู่ว่าผู้สั่งจ่ายถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้างความไม่สุจริตของตนมาเป็นเหตุที่จะไม่คืนเงินตามเช็คที่ได้รับจากโจทก์หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดนายตามใจ ขำภโต กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในขณะนั้นได้มอบอำนาจให้นายชิน อาจวาริน ฟ้องคดีแทน จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีนางทองเยาว์ แจ้งบุญ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2531 จำเลยนำเช็คของโจทก์สาขาถนนศรีอยุธยา มีห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนเป็นผู้สั่งจ่าย จำนวน 5 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1,201,574 บาทไปเรียกเก็บเงินโดยรู้อยู่แล้วว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนเด็ดขาดแล้วแต่จำเลยสมคบกับผู้สั่งจ่ายนำเช็คมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์โดยอาศัยช่องว่างการปฏิบัติงานของพนักงานโจทก์ ทำให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลยโดยหลงผิด เป็นการเบิกและรับเงินไปจากโจทก์โดยไม่สุจริตและปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน1,290,457.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินต้น 1,201,574 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า นายชินผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะขณะทำหนังสือมอบอำนาจนายตามใจกรรมการผู้จัดการใหญ่ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจไว้ แต่ขณะฟ้องนายตามใจถูกโจทก์ปลดออกจากตำแหน่งไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ หนังสือมอบอำนาจถูกยกเลิกเพิกถอนไปแล้วก่อนที่จำเลยจะนำเช็คทั้งห้าฉบับไปเรียกเก็บเงิน จำเลยไม่ทราบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การที่โจทก์ใช้เงินให้จำเลยตามเช็คพิพาทเป็นการจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับผู้สั่งจ่าย การที่จำเลยรับเงินจึงมีมูลโดยชอบด้วยกฎหมายมิใช่ลาภมิควรได้และเป็นการรับโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,201,574บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด กรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนโจทก์ได้ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน 2523 ถึงวันที่26 ตุลาคม 2525 คือ นายตามใจ ขำภโต กรรมการผู้จัดการใหญ่ผู้เดียวหรือกรรมการอื่นโดยประทับตราสำคัญของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 นายตามใจได้ลงชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์มอบอำนาจให้นายชิน อาจวาริน ฟ้องคดีแทนโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 เห็นว่า การกระทำของนายตามใจนั้นถูกต้องตามข้อความในเอกสารที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้รับรองดังกล่าวแม้ภายหลังวันที่ 26 ตุลาคม 2525 นายตามใจจะลาออก แต่หนังสือมอบอำนาจของนายตามใจที่ได้มอบอำนาจให้นายชินฟ้องคดีขณะนายตามใจมีอำนาจกระทำแทนโจทก์นั้นคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เหตุที่นายตามใจพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ จึงหาได้ทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์สิ้นสุดตามไปไม่ ฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบแล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการต่อไปมีว่า จำเลยไม่ได้สมคบกับห้างหุ้นส่วนจำกัดนครหลวงวิสาหกิจและการลงทุนผู้สั่งจ่ายนำเช็คไปเบิกเงินจากโจทก์โดยรู้อยู่ก่อนว่าผู้สั่งจ่ายถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว อันเป็นการกระทำโดยสุจริตหรือไม่ โจทก์มีนายชินผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า นายสุธรรมผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของผู้สั่งจ่ายเป็นบิดาของสามีนางวาสนาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของจำเลยและบุคคลทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเดียวกันตามหนังสือรับรองและสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จำเลยย่อมทราบดีว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาด ทั้งการที่จำเลยรวบรวมเช็คหลายฉบับบางฉบับถึงกำหนดใช้เงินแล้วเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ส่วนจำเลยมีนางทองเยาว์เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจำเลยไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาด แต่นางทองเยาว์ก็เบิกความรับว่า นางวาสนาบุตรของพยานเป็นภริยาของนายสุพล บุตรของนายสุธรรม นอกจากนี้พยานยังได้ติดต่อเล่นแชร์และแลกเช็คกับนายคมสันหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้สั่งจ่ายตั้งแต่ปี 2526 ตลอดมาเป็นการเจือสมพยานโจทก์พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางทองเยาว์ ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้สั่งจ่ายเด็ดขาดก่อนที่จะนำเช็คเอกสารหมายจ.4 ไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ เมื่อนางทองเยาว์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยทราบจึงถือว่าจำเลยทราบด้วย เช่นนี้จำเลยจึงต้องนำเช็คเอกสารหมาย จ.4 ไปขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27, 91ดังนั้นการที่จำเลยนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากโจทก์ทั้งที่รู้อยู่ว่าผู้สั่งจ่ายถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วถือได้ว่าเป็นการสมคบกับผู้สั่งจ่ายและใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจะอ้างความไม่สุจริตของตนมาเป็นเหตุที่จะไม่คืนเงินที่ได้รับจากโจทก์หาได้ไม่
พิพากษายืน

Share