แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบ มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน การที่โจทก์ฎีกาต้องการให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญประมาณ 20 ปีมาแล้ว โจทก์ที่ 1 ยกที่ดินด้านทิศตะวันตกให้แก่จำเลยและยกที่ดินด้านทิศใต้ให้แก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ได้เข้าครอบครองโดยก่อสร้างยุ้งข้าวและโกดังเก็บของบนที่ดินที่ได้รับการยกให้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา จำเลยได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของจำเลย จนเจ้าหน้าที่ได้ใส่ชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งแปลง โดยรุกล้ำที่ของโจทก์ที่ 1 จำนวน32 ตารางวา และของโจทก์ที่ 2 จำนวน 12 ตารางวา ขอให้เพิกถอนหรือทำลาย น.ส.3 ก. เลขที่ 819 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองทำประโยชน์ โจทก์ทั้งสองไม่ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนภายใน 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 อ้างว่า จากพยานหลักฐานโจทก์และพยานหลักฐานในสำนวนนี้ปรากฏว่ายุ้งข้าวโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ปลูกสร้างมาประมาณ 20 ปีแล้ว ไม่ใช่นายปานปลูกสร้างขึ้นแล้วยกให้โจทก์ที่ 2 และจำเลยแต่อย่างใดและที่ดินพิพาทก็เป็นของโจทก์ที่ 2 ข้อนี้เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่า ยุ้งข้าวเป็นของนายปานปลูกสร้างขึ้นแล้วยกให้โจทก์ที่ 2 และจำเลยไม่ใช่ของโจทก์ที่ 2 และวินิจฉัยด้วยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ที่ 2 ในขณะออกน.ส.3 ก. ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านนั้น ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบและฟังข้อเท็จจริงได้ดังกล่าว และที่ศาลวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 ทราบว่าจำเลยออก น.ส.3 ก. ก่อนนำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความนั้นก็เป็นการวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ฟังได้ความจากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเช่นเดียวกัน มิใช่ศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน ส่วนข้อเท็จจริงที่โจทก์ที่ 2 ยกขึ้นอ้างว่าเป็นเช่นนั้นมิใช่ดังที่ศาลรับฟังกรณีเป็นเรื่องโจทก์ที่ 2 โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลโดยโจทก์ที่ 2 ต้องการให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ตนต้องการเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ที่ 2 จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ที่ 2