คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6663/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลา 19 ปี แต่มิได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน เมื่อ ค. ซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วโจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยัน ค. ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทจาก ค. จำเลยจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่อย่างไรโจทก์ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันจำเลยผู้รับโอนต่อมาได้ เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่ผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตตอนแรก แม้โจทก์จะยังครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แต่ครอบครองในช่วงหลังที่ ค.และจำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์มายังไม่ครบ 10 ปี จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์ต่อจำเลยครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วด้วยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าครอบครองที่ดินโฉนดที่ 14400 และ15669 ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยความสงบและโดยเปิดเผย ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเป็นเวลา 19 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ จำเลยได้เข้ามารบกวนการครอบครองของโจทก์และโจทก์เปลี่ยนชื่อเจ้าของที่ดินในโฉนดไม่ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 14400 และ 15669 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยการครอบครองปรปักษ์ ห้ามจำเลยหรือบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวและให้จำเลยทำการเปลี่ยนชื่อในโฉนดเป็นของโจทก์ หากจำเลยไม่ไป ขอให้ศาลมีคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินแปลงพิพาทโดยเฉพาะสิทธิในที่ดินพิพาทหากมีอยู่ดังที่โจทก์อ้างก็ได้ขาดตอนไปตั้งแต่เจ้าของเดิมโอนขายให้แก่บุคคลอื่น ผู้รับโอนโดยสุจริตต่อมาบุคคลดังกล่าวโอนขายแก่จำเลย ซึ่งจำเลยรับโอนมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแล้ว โจทก์จะยกเอาการครอบครองปรปักษ์มายันจำเลยไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ โจทก์อ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2515เป็นเวลา 19 ปี แล้วย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แต่ปรากฏว่า พันโทวิชาญเจ้าของเดิมได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่นายคงศักดิ์ เมื่อวันที่ 21มิถุนายน 2536 ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 อันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี ดังที่โจทก์อ้าง แต่โจทก์มิได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนแต่อย่างใด เมื่อนายคงศักดิ์ซื้อที่ดินพิพาทนั้นมาจากพันโทวิชาญ โดยไม่ปรากฏว่าซื้อมาโดยสุจริตหรือไม่อย่างไรก็ย่อมเป็นไปตามข้อสันนิษฐานอันเป็นคุณต่อผู้ซื้อว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 6 เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องและตามทางพิจารณาไม่ปรากฏเหตุที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวได้ถือว่านายคงศักดิ์ซื้อที่ดินพิพาทจากพันโทวิชาญมาโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ขึ้นไปใช้ยันนายคงศักดิ์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ฉะนั้นเมื่อจำเลยได้รับโอนที่ดินพิพาทจากนายคงศักดิ์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2533 อันเป็นระยะเวลาภายใน 10 ปี นับแต่วันรับโอนจากนายคงศักดิ์จำเลยจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่อย่างไร โจทก์ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันจำเลยผู้รับโอนต่อมาได้ เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่ผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตตอนแรก แม้โจทก์จะยังคงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาแต่การครอบครองในช่วงหลังที่นายคงศักดิ์ และจำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์มายังไม่ครบ 10 ปี ก็จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์ต่อจำเลยครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วด้วยหาได้ไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share