คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666-667/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเจ้ามรดกตาย ที่ดินของเจ้ามรดกจึงตกได้แก่บุตรของเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมอันดับแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629ตัวพี่สาวของเจ้ามรดกย่อมถูกตัดออกจากทายาทตามมาตรา 1630
การที่พี่สาวของเจ้ามรดกก็ดี มารดาของเจ้ามรดกก็ดียอมรับสภาพหนี้ของเจ้ามรดกก็ย่อมไม่มีผลผูกพันบุตรของเจ้ามรดกเพราะไม่ได้เป็นผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555,1556 อันสามารถทำนิติกรรมให้ผูกพันทรัพย์สินของผู้เยาว์
จำเลยเข้าไปตัดฟันต้นมะม่วงในที่ดินของผู้อื่นในขณะที่จำเลยยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและต้นมะม่วงนั้นการกระทำของจำเลยย่อมเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้กรณีเกี่ยวพันกันจึงได้รวมพิจารณาพิพากษา

สำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องนางใยโจทก์ที่ 1 กับนายสง่าเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตร 1 คน ชื่อนายสำลี วอนสกุลแต่นายสง่าสามีตายไปนานแล้ว เมื่อ 13 ปีมานี้ นายสำลีบุตรโจทก์ได้นางทองหลอมบุตรนางไข่เป็นภรรยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเกิดบุตรด้วยกันคือ เด็กหญิงลัดดา วอนสกุล โจทก์ที่ 2 อายุ 12 ปีประมาณ 10 ปีมานี้นางไข่ยายเด็กหญิงลัดดาโจทก์ที่ 2 ได้ยกที่ดินโฉนดที่ 4875 ให้แก่นายสำลี และนางทองหลอมซึ่งโจทก์ทั้งสองและนายสำลี นางทองหลอมได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่ดินรายนี้ ได้เก็บดอกผลของต้นผลไม้จำหน่ายเป็นผลประโยชน์ตลอดมา ครั้นเมื่อ 8 ปี และ 6 ปีมานี้ นายสำลีและนางทองหลอมได้ตายตามลำดับ เด็กหญิงลัดดาโจทก์ที่ 2 อยู่ในความอุปการะของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นย่า เพราะนางไข่ผู้เป็นยายได้ตายไปก่อนแล้ว เมื่อนายสำลีนางทองหลอมตายไป โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ได้รับมรดกของนายสำลี เด็กหญิงลัดดาโจทก์ที่ 2 ได้รับมรดกของนางทองหลอมในที่ดินโฉนดที่ 4875 เมื่อ พ.ศ. 2507 นางสาวกิมลี้จำเลยได้ใช้ให้นายสุชาติกับพวกโค่นต้นมะม่วงของโจทก์ซึ่งอยู่ในที่ดินรายนี้ ราคา 400 บาท แล้วขนเอาไปบ้านจำเลยเสีย 1 ต้น อันเป็นต้นมะม่วงที่มีผลแล้ว โจทก์จึงขอให้จำเลยใช้เงินค่าต้นมะม่วงและดอกผลที่พึงจะได้ 1,100 บาท กับให้จำเลยคืนโฉนดเลขที่ 4875 ซึ่งจำเลยยึดถือไว้ให้กับโจทก์ เพราะโจทก์ทวงถามเอาคืนแล้วจำเลยไม่ให้

นางสาวกิมลี้จำเลยให้การต่อสู้ว่า นายสง่าสามีโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ นายสำลีกับนางทองหลอมที่โจทก์อ้างว่ามิได้จดทะเบียนสมรสนั้นก็ไม่จริง เมื่อ 9 ปีมานี้ นางไข่ (ยายเด็กหญิงลัดดา) ได้ยกที่ดินโฉนดที่ 4875 ให้กับนายสำลีและนางทองหลอม โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของที่รายนี้เดิมไม่เคยมาเกี่ยวข้องเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้ว เมื่อนายสำลีนางทองหลอมตาย เด็กหญิงลัดดาโจทก์ที่ 2 ก็อยู่ในความอุปการะของนางหลิวพี่สาวนางทองหลอม โจทก์ทั้งสองไม่เคยครอบครองหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินรายนี้เลย การที่จำเลยได้ยึดถือโฉนดที่ดินรายนี้ไว้ เนื่องจากเมื่อนายสำลีตายแล้ว นางทองหลอมได้ทำหนังสือกู้เงินจำเลยไป 2,000 บาท เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2500แล้วมอบโฉนดที่ดินนั้นให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน นางทองหลอมได้ตายไป ก็ยังไม่ได้ชำระเงินกู้และดอกเบี้ยให้จำเลย นางหลิวผู้ปกครองอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนางทองหลอมได้รับสภาพหนี้นั้นต่อจำเลยเป็นการชำระดอกเบี้ยขอผัดชำระหนี้มอบที่ดินรายนั้นให้จำเลยเก็บดอกผลต่อไปต่างดอกเบี้ยทั้งโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้รับมรดกนายสำลีก็ได้รับสภาพหนี้ต่อจำเลยการโค่นต้นมะม่วงรับว่าได้กระทำจริง แต่ค่าเสียหายไม่เกิน 30 บาท และว่าโจทก์ไม่เคยขอโฉนดคืน ในที่สุดตัดฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 เป็นหญิงมีสามี ไม่มีอำนาจฟ้องเอง คดีโจทก์ขาดอายุความนับแต่นายสำลีตาย 8 ปีแล้ว โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่มรดกรายนี้ ขอให้ยกฟ้อง

แล้วนางสาวกิมลี้ ป้อมลาย ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีก่อนเป็นจำเลยอีกสำนวนหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2500 นางทองหลอม ได้กู้เงินไป 2,000 บาท โดยได้นำโฉนดเลขที่ 4875 ให้ยึดถือไว้เป็นประกัน ครั้นต้นปี พ.ศ. 2501 นางทองหลอมได้ถึงแก่ความตายนางหลิวพี่สาวผู้ตายซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูอุปการะเด็กหญิงลัดดาและเป็นผู้จัดการมรดกได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงินกู้ จำเลยไม่มีเงินให้ แต่กลับฟ้องโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทผู้จัดการมรดกของนางทองหลอม วอนสกุลใช้ต้นเงิน 2,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า นางทองหลอมจะกู้เงินโจทก์ไปจริงหรือไม่ไม่รับรองหากกู้กันจริง นางทองหลอมตายไปตั้งแต่ พ.ศ. 2501 โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความนางหลิวมิได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายสำลีและนางทองหลอมผู้ตายการที่นางหลิวทำหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ย่อมไม่มีผล เพราะนางหลิวไม่ใช่ทายาท

ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงบางประการซึ่งคู่ความแถลงรับกันว่า นางใยมีสามีชื่อนายสง่ายังมีชีวิตอยู่ แต่มิได้อยู่กินด้วยกันมา 30 ปีแล้ว นายสำลีบุตรนางใยตายมา 8 ปี นางทองหลอมภรรยานายสำลีตายมา 6 ปี นางไข่มารดานางทองหลอมตายก่อนนางทองหลอม 3-4 เดือน เมื่อนายสำลี นางทองหลอมตายลงไม่มีผู้จัดการมรดกนางหลิวเป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนางทองหลอม สำหรับที่ดินโฉนดที่ 4875 คู่ความรับกันว่าเดิมเป็นของนางใย แล้วนางใยได้ขายให้แก่นางไข่ ต่อมานางไข่ได้ยกให้แก่นายสำลี นางทองหลอมซึ่งยังคงมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นอยู่จนกระทั่งบัดนี้แต่ขณะนี้โฉนดที่ดินนั้นอยู่ที่นางสาวกิมลี้และนางสาวกิมลี้รับว่าได้ตัดฟันต้นมะม่วงจริง ตกลงรับกันว่าค่าเสียหาย 150 บาท ได้ความตามที่รับกันดังนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอชี้ขาดได้แล้วให้งดสืบพยานของคู่กรณีแล้ววินิจฉัยว่าหนี้เงิน 2,000 บาทกับดอกเบี้ยที่นางสาวกิมลี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกนั้น ปรากฏว่านางทองหลอมลูกหนี้ได้ตายไป 6 ปีแล้ว ฟ้องคดีนี้ภายหลังนางทองหลอมตายเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 ที่อ้างว่านางหลิวพี่สาวนางทองหลอมผู้ตายรับสภาพหนี้นั้นไม่ผูกพัน เพราะมรดกนางทองหลอมไม่มีผู้จัดการและบุคคลทั้งสองไม่ใช่ทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของนางทองหลอมผู้ตาย เนื่องจากผู้ตายมีเด็กหญิงลัดดาเป็นบุตรอยู่แล้ว ย่อมตัดสิทธินางหลิวพี่ผู้ตาย นางสาวกิมลี้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะยึดโฉนดเลขที่ 4875 พิพากษายกฟ้องคดีที่นางสาวกิมลี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้นั้นเสีย กับให้นางสาวกิมลี้ในฐานะจำเลยใช้ค่าเสียหายให้กับนางใยเด็กหญิงลัดดาโจทก์ 150 บาท และคืนโฉนดที่ 4875 ให้แก่บุคคลทั้งสองนี้ด้วย

นางสาวกิมลี้อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

นางสาวกิมลี้ฎีกาต่อมาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยให้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนข้อเท็จจริงนั้นเป็นอันยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา

1. ฎีกาข้อแรกเรื่องการรับสภาพหนี้ที่อ้างว่านางหลิวพี่สาวนางทองหลอม นางใยแม่ผัวนางทองหลอมได้ทำให้ไว้แก่ตนนั้น ใช้ได้เพราะนางหลิวเป็นทายาทของนางทองหลอมน้องสาว ศาลฎีกาเห็นว่าโดยที่ดินโฉนดที่ 4875 เป็นของนายสำลีนางทองหลอม เมื่อบุคคลทั้งสองตาย และไม่มีผู้จัดการมรดก ที่ดินนั้นก็ย่อมตกได้แก่เด็กหญิงลัดดาบุตรทายาทโดยชอบธรรมอันดับแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 นางหลิวพี่สาวนางทองหลอมผู้ตายซึ่งเป็นทายาทอันดับหลังจึงถูกตัดออกจากทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1630 ที่นางสาวกิมลี้อ้างว่าภายหลังเมื่อนางทองหลอมตายนางหลิวและนางใยรับสภาพหนี้ของนางทองหลอม แม้จะทำกันจริงก็ไม่มีผลผูกพันให้เด็กหญิงลัดดารับผิด เพราะบุคคลทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงลัดดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555, 1556 อันสามารถทำนิติกรรมให้ผูกพันทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้

2. การตัดฟันต้นมะม่วง นางสาวกิมลี้ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 เพราะได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ประกันหนี้ให้โดยขอเงินเพิ่ม ศาลฎีกาเห็นว่าในขณะตัดต้นมะม่วงนั้นนางสาวกิมลี้ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้หรือมะม่วงต้นนี้ทั้งนางสาวกิมลี้ก็ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าอีกฝ่ายยินยอมจึงได้ทำไปเช่นนั้นโดยสุจริต การกระทำของนางสาวกิมลี้จึงเป็นการละเมิดโดยไม่มีปัญหา

3. ฎีกาข้อสุดท้ายที่ว่านางใยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share