แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่มีว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าจำเลยได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเพราะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ให้การไว้ ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)อ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท หาใช่ผู้ร้องสอดแล้ว หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและมีคำสั่ง ให้ขับไล่จำเลย คำสั่งที่ให้ขับไล่นี้ย่อมใช้บังคับแก่ผู้ร้องสอดได้ ตามมาตรา 142(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 88 เนื้อที่ประมาณ 21 ไร่ จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารได้บุกรุกเข้าไปปลูกที่พักในที่ดินของโจทก์ อันถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่กับห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2535ตลอดมาด้วยความสงบเปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า1 ปีแล้ว โดยได้ทำรั้ว ปลูกมะขาม มะม่วง กล้วย และไม้สักทองโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง และห้ามโจทก์อีกทั้งบริวารเกี่ยวข้องที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และยกคำร้องสอด
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1และบริวารขนย้ายรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสี่กับห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทของโจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่าโจทก์ทั้งสี่หรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน และมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ว่า โจทก์ทั้งสี่บังคับให้ผู้ร้องสอดและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสี่ได้หรือไม่ จำเลยที่ 2 บุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทหรือไม่
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างว่ามีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ทั้งสี่ก็เพราะจำเลยที่ 1 ได้สิทธิการครอบครองในที่ดินพิพาทก่อนโจทก์ทั้งสี่ แต่ปรากฏว่าคดีนี้จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ เพราะฉะนั้นประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ โดยเหตุนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเพราะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ให้การไว้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีมีปัญหาว่าโจทก์ทั้งสี่บังคับให้ผู้ร้องสอดและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อผู้ร้องสอดร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) อ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท หาใช่ผู้ร้องสอดแต่อย่างใดไม่แล้วหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลย คำสั่งที่ให้ขับไล่นี้ย่อมใช้บังคับแก่ผู้ร้องสอดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1)
ปัญหาสุดท้ายที่ว่าจำเลยที่ 2 บุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทจริง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และผู้ร้องสอดพร้อมทั้งบริวารขนย้าย รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสี่ ให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1