คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6654/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การร้องขอกันส่วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ต้องเป็นกรณีที่มีการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่คดีนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทที่เป็นทรัพย์มรดกของ ป. และ ต. ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ เนื่องจาก ป. ต. ส. และจำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นทายาทของ ส. การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามแบ่งทรัพย์มรดกของ ป. และ ต. ให้โจทก์ทั้งสองตามส่วน โดยคู่ความตกลงกันให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้แบ่งกันตามส่วน จึงเป็นเรื่องบังคับให้จำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินพิพาทในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมด้วยกัน แล้วจัดการแบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองเท่านั้น หาได้มีการบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามไม่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่อาจขอกันส่วนโดยอ้างว่าผู้ร้องทั้งสี่เป็นทายาทของ ส. ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม และมีสิทธิรับมรดกในส่วนของ ส. ร่วมกับจำเลยทั้งสาม เป็นเรื่องที่ผู้ร้องทั้งสี่จะต้องไปดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างหาก

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เรียกผู้ร้องในสำนวนแรกว่า ผู้ร้องที่ 1 เรียกผู้ร้องทั้งสามในสำนวนหลังว่า ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 และเรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทั้งสองสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแป้น และนายติ๊ด ตามลำดับกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะทายาทของนายใส และจำเลยที่ 3 ในฐานะส่วนตัวแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2572 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยให้โจทก์ที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในส่วนของนางแป้น 1 ส่วน ให้โจทก์ที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ในส่วนของนายติ๊ด 1 ส่วน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีส่วนร่วมกันในส่วนของนายใส 1 ส่วน ให้จำเลยที่ 3 มีกรรมสิทธิ์ในส่วนของตนเองตามโฉนด 3 ส่วน ในจำนวนทั้งสิ้น 6 ส่วน โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่ดินขายทอดตลาดแล้วเอาเงินที่ได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการขายแล้วมาแบ่งกันตามส่วน ต่อมาโจทก์ทั้งสองนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อบังคับตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้กันส่วนที่ดินพิพาทเฉพาะที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ร้องทั้งสี่รวมประมาณ 80 ตารางวา ออกจากการขายทอดตลาด
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 3 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 2572 ตำบลบางพระ อำเภอบางพระ (ศรีราชา) จังหวัดชลบุรี ให้แก่ทายาทของนายใส ผู้ตาย 1 ใน 6 ส่วนตามรูปแผนที่สังเขป แล้วแบ่งเป็น 7 ส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนละ 19.97 ตารางวา โดยให้กันส่วนของผู้ร้องที่ 1 ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก กับกันส่วนของผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกออกจากการขายทอดตลาด แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า นางแป้น นายติ๊ด นายใส และจำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2572 ตำบลบางพระ อำเภอบางพระ (ศรีราชา) จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 36.50 ตารางวา ต่อมานางแป้น นายติ๊ด และนายใส ถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางแป้น และโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายติ๊ด ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะทายาทของนายใสและจำเลยที่ 3 ในฐานะส่วนตัวให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองตามส่วนในแผนที่สังเขปพิพาทท้ายฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยให้โจทก์ที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในส่วนของนางแป้น 1 ส่วน ให้โจทก์ที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ในส่วนของนายติ๊ด 1 ส่วน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีส่วนร่วมกันในส่วนของนายใส 1 ส่วน และให้จำเลยที่ 3 มีกรรมสิทธิ์ในส่วนของตนเอง 3 ส่วน ในจำนวนทั้งสิ้น 6 ส่วน คู่ความยินยอมตกลงกันขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเอาเงินที่ได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายแบ่งกันตามส่วนดังกล่าว โดยจำเลยที่ 3 ได้มอบโฉนดที่ดินพิพาทต่อศาลเพื่อมอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการตามข้อตกลง คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสี่ว่า ผู้ร้องทั้งสี่จะร้องขอกันส่วนในที่ดินพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า การร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ต้องเป็นกรณีที่มีการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่คดีนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทที่เป็นทรัพย์มรดกของนางแป้นและนายติ๊ด ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ เนื่องจากนางแป้น นายติ๊ด นายใสและจำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นทายาทของนายใส การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามแบ่งทรัพย์มรดกของนางแป้นและนายติ๊ดให้โจทก์ทั้งสองตามส่วน โดยคู่ความตกลงกันให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้แบ่งกันตามส่วน จึงเป็นเรื่องบังคับให้จำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินพิพาทในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมด้วยกัน แล้วจัดการแบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองเท่านั้น หาได้มีการบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามไม่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่อาจขอกันส่วนโดยอ้างว่า ผู้ร้องทั้งสี่เป็นทายาทของนายใสผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม และมีสิทธิรับมรดกในส่วนของนายใสร่วมกับจำเลยทั้งสาม เป็นเรื่องที่ผู้ร้องทั้งสี่จะต้องไปดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share