คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8346/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยร่วมกับพวกรุมเตะผู้ตายเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้ตาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายอีกบทหนึ่ง คงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเพียงบทเดียวเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 288, 290 และริบตั่งไม้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ประกอบมาตรา 83, 288 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 15 ปี ริบตั่งไม้ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันในสาระสำคัญ บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนยาวติดอยู่ น่าเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามที่รู้เห็น พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์แม้นายประดิษฐ์ จะเบิกความว่า มองเห็นหน้าคนร้ายแบบเฉียงๆ ตอนนั้นคนร้ายใช้ผ้าพันหน้าตนเองไว้ แต่บริเวณใกล้ๆ มีแสงสว่างจากไฟนีออนแบบยาวผูกติดไว้กับต้นพิกุลทั้งนายประดิษฐ์รู้จักกับจำเลยมาก่อน และเห็นจำเลยกับพวกออกไปเต้นรำอยู่หน้าเวที จึงเห็นชุดที่จำเลยสวมใส่มาในวันเกิดเหตุ ประกอบกับจำเลยมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปเป็นที่สังเกตได้ง่าย หลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน นายประดิษฐ์ให้การต่อพนักงานสอบสวนยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย เชื่อว่านายประดิษฐ์เห็นและจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้ายที่ใช้ตั่งไม้ตีผู้ตาย แม้คำเบิกความของนายขวัญชัย จะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่มิใช่คำซัดทอดเพื่อให้นายขวัญชัยพ้นผิดเพราะนายขวัญชัยถูกดำเนินคดีด้วย เมื่อนำคำเบิกความของนายขวัญชัยมาพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้ตั่งไม้ตีผู้ตาย พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาจำเลยที่ว่า เหตุคดีนี้มีการชุลมุนต่อสู้ของกลุ่มวัยรุ่น พวกของจำเลยมี 7 คน ส่วนวัยรุ่นบ้านข่อยมี 4 ถึง 5 คน การตายของผู้ตายเกิดจากการชุลมุนต่อสู้ ไม่มีผู้ใดจงใจทำร้ายร่างกายผู้ตาย ตามลักษณะของเหตุการณ์และสถานที่เกิดเหตุมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าใครเป็นผู้ทำร้ายผู้ตาย ผู้ตายถึงแก่ความตายในการชุลมุนต่อสู้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294 นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
อนึ่ง แม้พฤติการณ์แห่งคดีจะฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกรุมเตะผู้ตายบริเวณร่างกายหลายครั้งก่อนที่จำเลยจะใช้ตั่งไม้ตีศีรษะผู้ตายก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยต่อผู้ตายนั้น เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องในคราวเดียวกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ทั้งมีผู้ตายเป็นผู้ถูกกระทำเพียงคนเดียว การกระทำของจำเลยจึงมีเพียงเจตนาเดียวคือเจตนาฆ่าผู้ตายเท่านั้นการที่จำเลยร่วมกับพวกรุมเตะผู้ตายจึงเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้ตาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายอีกบทหนึ่ง คงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเพียงบทเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 มาด้วยนั้นไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนที่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 อีกบทหนึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share