คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ยาเสพติดให้โทษของกลางจะมีอันตรายต่อผู้เสพ แต่มีเพียง2 หลอดเล็ก หนัก 1.43 กรัม จำนวนไม่มาก ไม่มีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน จำเลยเป็นหญิงและป่วยมีความดันโลหิตต่ำ ซึ่งทางโรงพยาบาลกลางกรมราชทัณฑ์ไม่มีเตียงที่จะรับจำเลยไว้รักษา หากถูกคุมขังอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตพฤติการณ์แห่งคดีจึงสมควรรอการลงโทษไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 6, 7, 8, 15, 67, 102 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 วางโทษจำคุก4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ว่า สมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่เห็นว่าแม้ยาเสพติดให้โทษของกลางจะมีอันตรายต่อผู้เสพติดแต่มีเพียง 2 หลอดเล็กหนัก 1.43 กรัม จำนวนไม่มาก ไม่มีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษมาก่อนจำเลยเป็นหญิงและป่วยมีความดันโลหิตต่ำมาก ซึ่งทางโรงพยาบาลกลางกรมราชทัณฑ์ไม่มีเตียงสำหรับคนไข้หญิงที่จะรับจำเลยไว้รักษาหากถูกคุมขังอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือสมองพิการ ทั้งมีบุตรเล็กต้องเลี้ยงดู 2 คน และจำเลยถูกขังมา 155 วัน เพียงพอให้จำเลยได้สำนึกปฏิบัติตนไม่ประพฤติผิดกฎหมายอีกต่อไป ตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงสมควรรอการลงโทษไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share