แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เยาว์กับจำเลยสมัครใจรักใคร่กันโดยที่จำเลยยังไม่เคยมีภริยามาก่อน การที่จำเลยได้พาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยและได้เสียกันก็เพื่อประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่มีเหตุขัดข้องเกิดจากมารดาจำเลยไม่ยอมรับผู้เยาว์เป็นสะใภ้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙
จำเลยให้การว่า ได้พานางสาว ส. ผู้เยาว์ไปจากความปกครองของผู้เสียหายแต่พาไปเพื่ออยู่กินฉันสามีภริยา มิใช่เพื่อการอนาจาร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ วรรคแรก จำคุก ๔ ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสี่ คงจำคุก ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ เห็นได้ว่า จำเลยกับผู้เยาว์รักใคร่ชอบพอกัน จำเลยมารับผู้เยาว์ไปอยู่ที่ร้านอาหารของมารดาจำเลยเพื่อเป็นภริยา แต่ผู้เยาว์เร่งรัดมารดาจำเลยให้ไปสู่ขอต่อบิดามารดาผู้เยาว์ตามประเพณี ทำให้มารดาจำเลยไม่พอใจทะเลาะวิวาทกับผู้เยาว์ ขับไล่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไม่ยอมไปสู่ขอผู้เยาว์เป็นภริยาจำเลย การที่ผู้เยาว์กับจำเลยสมัครรักใคร่กันโดยที่จำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน จำเลยได้พาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยได้เสียกันก็เพื่อประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่มีเหตุขัดข้องเกิดจากมารดาจำเลยไม่ยอมรับผู้เยาว์เป็นสะใภ้การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.