คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6629/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลย ตกลงกับโจทก์ว่าจะให้ส่วนแบ่งกำไรแก่โจทก์ในอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ แม้ข้อตกลงนี้เดิมไม่ได้ ทำเป็นหนังสือไว้ แต่ต่อมาจำเลยได้ทำบันทึกตามเอกสารพิพาทถึงโจทก์ แล้วจำเลยก็ยังคงจ่ายส่วนแบ่งกำไรตามหลักเกณฑ์ตามบันทึกดังกล่าวตลอดมาถือได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างแรงงานมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยจำเลยจึงไม่มีสิทธิแต่ฝ่ายเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงการจ่ายส่วนแบ่งกำไรให้แก่โจทก์ใหม่โดยคิดค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ตกลงไว้และแบ่งกำไรให้เพียงอัตรา 1.5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ ซึ่งไม่เป็นคุณและไม่ได้รับความยินยอมจาก โจทก์ก่อนได้ คดีนี้ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการคิดค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ได้ตกลงกันไว้และแบ่งกำไรให้แก่โจทก์เพียงอัตรา 1.5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ โจทก์มิได้ยินยอมด้วย และเงินส่วนแบ่งกำไรนี้มิใช่เงินโบนัส เพราะเงินโบนัสมีข้อตกลงอยู่ต่างหากแล้วการที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงดังกล่าวในปีถัดไปจากปี 2538 ไปได้แล้วและที่ว่า ผลประโยชน์ตอบแทนการขายของโจทก์หรือที่เรียกว่าส่วนแบ่งกำไร หมายถึงโบนัสของฝ่ายขาย จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่1 กุมภาพันธ์ 2536 ครั้งสุดท้ายมีตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสแผนกขาย 3 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 76,300 บาทกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจะจ่ายเงินส่วนแบ่งกำไรในอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ ของกำไรสุทธิที่เกิดจากการทำงานของแผนกโจทก์ให้แก่โจทก์ โดยมีหลักเกณฑ์การคำนวณกำไรสุทธิดังนี้ นำยอดขายสุทธิคูณ 4 เปอร์เซ็นต์ เป็นค่าใช้จ่ายของจำเลย ยอดขายสุทธิลบด้วยต้นทุนขาย เป็นกำไรเบื้องต้นแล้วนำกำไรเบื้องต้นลบด้วยค่าใช้จ่ายเป็นกำไรสุทธิ กำหนดจ่ายส่วนแบ่งกำไรให้แก่โจทก์จะกระทำภายหลังจากทราบผลกำไรขาดทุนของแต่ละปีแล้ว ต่อมาได้มีการทำบันทึกข้อตกลงในเรื่องส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวเป็นหนังสือบันทึกช่วยจำ ตั้งแต่ปี 2536 ถึงปี 2538จำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงตลอดมา แต่ในปี 2539 จำเลยกระทำผิดสัญญาโดยลดอัตราส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายให้แก่โจทก์เหลือเพียง1.5 เปอร์เซ็นต์ และจำเลยหักค่าใช้จ่ายเกิน 4 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายสุทธิ ทำให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งกำไรต่ำกว่าความเป็นจริงคือ ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงธันวาคม 2539 แผนกขายของโจทก์ทำยอดขายสุทธิได้ 127,844,572.76 บาท มีต้นทุนการขาย 107,243,046.40 บาท เมื่อนำยอดขายสุทธิมาหักต้นทุนขายแล้วจะได้กำไรเบื้องต้น 20,601,526.36 บาทหักค่าใช้จ่าย 4 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายสุทธิเป็นเงิน5,113,782.91 บาท จะได้กำไรสุทธิของปี 2539 เป็นเงิน15,487,743.45 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินส่วนแบ่งกำไรในอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ จากผลกำไรสุทธิดังกล่าว คิดเป็นเงิน774,387.17 บาท จำเลยทราบผลกำไรขาดทุนเรียบร้อยแล้วแต่จำเลยจ่ายเงินส่วนแบ่งกำไรให้แก่โจทก์เพียงในอัตรา1.5 เปอร์เซ็นต์ ของยอดกำไรสุทธิและหักค่าใช้จ่ายเกิน4 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายสุทธิ เป็นเงินส่วนแบ่งกำไรที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เพียง 107,199.63 บาท ซึ่งไม่ถูกต้องตามที่ได้ตกลงกันยังขาดอยู่อีกเป็นเงินทั้งสิ้น 667,187.54 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินส่วนแบ่งกำไรให้แก่โจทก์อีกเป็นเงิน 667,187.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน667,187.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน 569,574.30 บาท นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2539 และของเงิน 97,613.24 บาท นับแต่วันที่ 31 มีนาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าบันทึกช่วยจำมีลักษณะเป็นประกาศภายในของบริษัทที่จำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียว และจำเลยเป็นฝ่ายลงชื่อฝ่ายเดียว มิใช่เป็นสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้น เห็นว่าโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2536 จำเลยตกลงกับโจทก์ ว่าจะให้ส่วนแบ่งกำไรแก่โจทก์ในอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ แม้ข้อตกลงนี้เดิมไม่ได้ทำเป็นหนังสือไว้แต่เมื่อจำเลยได้ทำบันทึกช่วยจำตามเอกสารหมาย จ.1 ที่จำเลยมีถึงโจทก์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2536 และจำเลยก็ได้จ่ายส่วนแบ่งกำไรตามหลักเกณฑ์ตามเอกสารหมาย จ.1 มาตั้งแต่ปี 2536ตลอดมาจนถึงปี 2538 ถือได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างแรงงานมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยจำเลยจึงไม่มีสิทธิแต่ฝ่ายเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงการจ่ายส่วนแบ่งกำไรให้แก่โจทก์ใหม่โดยคิดค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ตกลงไว้และแบ่งกำไรให้เพียงอัตรา 1.5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ ซึ่งไม่เป็นคุณและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อนได้
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงดังกล่าวในปีถัดไปจากปี 2538 ไปได้แล้ว และที่ว่าผลประโยชน์ตอบแทนการขายของโจทก์หรือที่เรียกว่าส่วนแบ่งกำไรหมายถึงโบนัสของฝ่ายขายนั้น เห็นว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการคิดค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ และแบ่งกำไรให้แก่โจทก์เพียงอัตรา 1.5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ โจทก์มิได้ยินยอมด้วย และเงินส่วนแบ่งกำไรนี้มิใช่เงินโบนัส เพราะเงินโบนัสมีข้อตกลงอยู่ต่างหากแล้วจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share