แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยรับคำบังคับแล้วได้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกจากแนวที่จำเลยก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของฝ่ายโจทก์ แต่ได้ใช้แผ่นเหล็กหนา 15 เซนติเมตร และ50 เซนติเมตร สูง 1.50 เมตร ก่อกำแพงตามแนวเดิมอันทำให้เป็นไปตามสภาพเดิมอีก ถือเป็นการกระทำโดยวิธีการอันแยบคายของจำเลยที่อาศัยการใช้วัสดุก่อสร้างอย่างอื่น ให้ผิดไปจากที่ระบุไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาย่อมเป็นที่เข้าใจ และประจักษ์ชัดว่าจำเลยมีเจตนาแท้จริงที่จะหลีกเลี่ยงไม่ถือปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ทั้งนี้ก็โดยมุ่งหวังที่จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อไปนั่นเอง โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนและขนย้ายวัสดุดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ ไม่เป็นการบังคับคดีเกินหรือนอกคำพิพากษา
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจาก ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เดือนละ 2,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กันยายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนกำแพงคอนกรีตที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2539 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำร้องว่า ศาลได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาภายใน 30 วัน จำเลยรับคำบังคับเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2539เมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคม 2539 จำเลยได้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกจากแนวที่จำเลยก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของฝ่ายโจทก์ แต่ได้ใช้แผ่นเหล็กหนา 15 เซนติเมตร และ 50 เซนติเมตร สูง1.50 เมตร ก่อเป็นกำแพงตามแนวเดิมอีก และจำเลยไม่รื้อหลังคากันสาดอะลูมิเนียมที่จำเลยสร้างคลุมบริเวณรั้วกำแพงคอนกรีตออกไปจากที่จำเลยทำกำแพงแผ่นเหล็กขึ้นใหม่ตรงแนวรั้วกำแพงคอนกรีตก็เพื่อให้เป็นไปตามสภาพเดิมและการที่จำเลยไม่รื้อถอนหลังคากันสาดอะลูมิเนียมออกเป็นการส่องให้เห็นเจตนาไม่สุจริตเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นการจงใจขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำบังคับขอให้ศาลออกหมายจับจำเลยมากักขังเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ทำขึ้นใหม่และที่ยังไม่รื้อออก
ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ในวันนัดพร้อมจำเลยแถลงว่า ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตแล้ว ฝ่ายโจทก์แถลงขอให้ศาลออกไปเดินเผชิญสืบดูบริเวณที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นได้ออกไปเดินเผชิญสืบตามคำขอ ปรากฏว่าจำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตที่พิพาทออกไปจากคานคอนกรีตที่เป็นฐานของรั้วกำแพงคอนกรีตตามคำพิพากษาศาลฎีกาและคำบังคับแล้วแต่ด้านหลังอาคารของจำเลยซึ่งมีกันสาดคอนกรีตเสริมเหล็กเครื่องปรับอากาศ และกล่องประตูเหล็กม้วนมีสิ่งของเครื่องใช้ของจำเลยวางอยู่ และจำเลยได้ก่อสร้างชั้นวางของทำด้วยแผ่นเหล็กสูงประมาณ 1.47 เมตร ขึ้นใหม่ในที่ดินของฝ่ายโจทก์ตลอดแนวรั้วกำแพงคอนกรีตเดิมถัดจากแนวรั้วเดิม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายชั้นวางของซึ่งทำด้วยแผ่นเหล็กหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ เว้นแต่กันสาดคอนกรีตเสริมเหล็ก เครื่องปรับอากาศ และกล่องประตูม้วนเหล็กที่มีอยู่เดิม ออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ภายใน 30 วันนับแต่วันมีคำสั่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กรณีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้ข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งจนมีคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำเลยในทางอาญาและให้แพ้คดีในทางแพ่ง จำเลยจึงอยู่ในฐานะของผู้ที่ทราบเรื่องต่าง ๆ ดี ด้วยเหตุนี้เองในส่วนที่เกี่ยวกับคดีนี้จำเลยจึงได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตออกไปจากที่ดินโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 แล้วได้ยื่นคำแถลงในศาลชั้นต้นทราบดังปรากฏตามคำแถลงของจำเลยซึ่งเก็บอยู่ในสำนวนสารบาญเก็บอันดับที่ 172 คดีน่าจะเสร็จสิ้นลงด้วยดี แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับจำเลยอ้างเหตุจำเลยใช้เหล็กแผ่นทำเป็นกำแพงตามแนวกำแพงคอนกรีตเดิมปรากฏตามคำร้องของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเก็บอยู่ในสำนวนสารบาญเก็บอันดับที่ 173 เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นต้องออกไปเดินเผชิญสืบดูที่ดินพิพาทซึ่งก็เป็นจริงตามที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 อ้างปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นซึ่งเก็บอยู่ในสำนวนสารบาญเก็บอันดับที่ 183 จากมูลคดีโดยสังเขปดังกล่าวมาแล้วประกอบกับภาพที่ 7 ซึ่งเป็นภาพประกอบท้ายคำแถลงแผ่นที่ 2 ของคำแถลงของทนายโจทก์ ฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2539ซึ่งเก็บอยู่ในสำนวนสารบาญเก็บอันดับที่ 179 โดยที่จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านภาพถ่ายดังกล่าวอีกทั้งจำเลยได้กระทำการในเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องกัน เห็นว่า การกระทำโดยวิธีการอันแยบคายของจำเลยที่อาศัยการใช้วัสดุก่อสร้างอย่างอื่นให้ผิดไปจากที่ระบุไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาย่อมเป็นที่เข้าใจและประจักษ์ชัดว่าจำเลยมีเจตนาที่แท้จริงที่จะหลีกเลี่ยงไม่ถือปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ทั้งนี้ก็โดยมุ่งหวังที่จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ต่อไปนั่นเอง โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนและขนย้ายชั้นวางของดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ ไม่เป็นการบังคับคดีเกินหรือนอกคำพิพากษา ฎีกาข้ออื่นของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน