แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108ทวิ ศาลจะมีอำนาจสั่งให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้ ก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อศาลวินิจฉัยว่า จำเลยเข้าครอบครองปลูกสร้างโรงรถลงในที่พิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ราษฎรใช้ร่วมกัน โดยเข้าใจว่าเป็นที่ของบิดามารดาจำเลยไม่มีความผิดอาญา ดังนี้ กรณีย่อมไม่ต้องตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงจะพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงรถออกจากที่พิพาทมิได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งริบโรงรถที่จำเลยปลูกสร้างลงในที่พิพาทศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนโรงรถออกไปจากที่พิพาทเพราะเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกสร้างโรงรถเป็นเนื้อที่ประมาณ 152 ตารางเมตร ลงในที่ดินอันเป็นที่สาธารณะประโยชน์ที่ราษฎรใช้ร่วมกัน ที่ดินดังกล่าวมิได้อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเหมืองแร่และการป่าไม้ โดยจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองหรือได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108,108 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 กับสั่งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินที่บุกรุกและริบโรงรถของจำเลยเสียด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดียังเป็นที่สงสัยว่าที่พิพาทจะใช่ที่สาธารณะประโยชน์หรือไม่ จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินนั้นเป็นของตน ไม่มีเจตนาบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ และจำเลยรู้ดีอยู่แล้ว
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของนายจับ นางดีมาแต่เดิม แล้วนายจับ นางดีได้สละสิทธิครอบครองอุทิศให้ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่พิพาทจึงตกเป็นของรัฐ จำเลยเชื่อว่ายังเป็นของนายจับ นางดีอยู่ จึงขาดเจตนาทุจริตไม่มีความผิดทางอาญา และจำเลยไม่มีสิทธิปลูกสร้างโรงรถลง เมื่อนายอำเภอแจ้งให้รื้อจึงต้องรื้อ พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อถอนโรงรถออกไปจากที่พิพาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทได้ถูกอุทิศให้เป็นที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์โดยปริยายแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะเข้าไปยึดถือและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจบังคับให้จำเลยรื้อถอนโรงรถออกไปจากที่พิพาทนั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้นด้วย ตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้เห็นได้ว่า ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้ กรณีต้องเป็นเรื่องที่ศาลพิพากษาว่าจำเลยได้กระทำความผิด แต่คดีนี้ศาลมิได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด กรณีไม่ต้องตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้น อนึ่งคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งริบโรงรถที่จำเลยปลูกสร้างลงนั้นเสีย ดังนั้นศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนโรงรถออกไปจากที่พิพาทเพราะเกินคำขอ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงรถออกไปจากที่พิพาทศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด