แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2510 ถึงวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2511 เวลากลางวัน และกลางคืน จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายแล้วต่อมาบรรยายรายละเอียดว่าจำเลยคนไหนมีหน้าที่อย่างไร แล้วบรรยายว่าจำเลยได้รับมอบหมายจากสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันให้เป็นผู้ดำเนินการรับสมัครสมาชิกประเภทสามัญโดยรับเงินจากผู้สมัครส่งเป็นผลประโยชน์รายได้ของสมาคม แล้วบรรยายต่อไปว่า ตามวันเวลาดังกล่าวนี้ จำเลยทั้งสองได้รับเงินของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันไว้จากประชาชนที่สมัครเป็นสมาชิกดังกล่าวแล้ว และเงินซึ่งสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันยืมจากบริษัทนฤมิตรธนาคมจำกัด แล้วจำเลยทั้งสองโดยเจตนาทุจริตได้บังอาจร่วมกันเบียดบังเงินค่าสมัคร… กับเงินยืมอันเป็นทรัพย์สินของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน…. ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงวันเวลาที่บ่งว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เป็นคำฟ้องสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๑๘มกราคม ๒๕๑๑ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายกล่าวคือ จำเลยที่ ๑ มีตำแหน่งเป็นกรรมการและเลขาธิการสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน จำเลยที่ ๒ มีตำแหน่งเป็นกรรมการและปฏิคมสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีวัตถุประสงค์ ..ฯลฯ.. จำเลยทั้งสองได้รับมอบหมายจากสมาคมฯให้เป็นผู้ดำเนินการรับสมัครสมาชิกประเภทสามัญของสมาคมโดยเป็นผู้รับเงินจากประชาชนผู้สมัครทั่ว ๆ ไป แล้วนำเงินค่าสมัครเข้าเป็นสมาชิกของประชาชนดังกล่าวนั้นประเภทต่าง ๆ…ฯลฯ…ซึ่งได้รับครอบครองไว้ส่งเป็นผลประโยชน์รายได้ของสมาคมฯ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสมาคมดังกล่าวข้างต้น ตามวันเวลาดังกล่าวนี้จำเลยทั้งสองได้รับเงินของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันไว้จากประชาชนที่สมัครเป็นสมาชิกดังกล่าวแล้วและเงินซึ่งสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันยืมจากบริษัทนฤมิตรธนาคม จำกัด แล้วจำเลยทั้งสองโดยเจตนาทุจริต ได้บังอาจสมคบร่วมกันเบียดบังเงินค่าสมัครที่ได้รับจากประชาชนประเภทต่าง ๆ ดังกล่าวกับเงินยืมอันเป็นทรัพย์สินของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน ในฐานะที่จำเลยทั้งสองดำเนินธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนนั้นไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย คิดเป็นเงินจำนวน ๕๗,๕๒๑ บาท๕๐ สตางค์ เหตุเกิดที่ตำบลสามเสนใน อำเภอพญาไท จังหวัดพระนคร ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ภายในอายุความแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๔ และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๕๗,๕๒๑.๕๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
สมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลอนุญาต
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์และขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นอนุญาต สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานจนเสร็จสำนวนแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ระบุวันที่จำเลยกระทำผิดถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) แล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในตอนแรกโจทก์บรรยายฟ้องว่า”เมื่อระหว่างวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๑๑ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย” แล้วต่อมาโจทก์บรรยายรายละเอียดว่า จำเลยคนไหนมีตำแหน่งหน้าที่อย่างไรแล้วบรรยายว่า จำเลยได้รับมอบหมายจากสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันให้เป็นผู้ดำเนินการรับสมัครสมาชิกประเภทสามัญโดยรับเงินจากผู้สมัครส่งเป็นผลประโยชน์รายได้ของสมาคม แล้วโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า”ตามวันเวลาดังกล่าวนี้ จำเลยทั้งสองได้รับเงินของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันไว้จากประชาชนที่สมัครเป็นสมาชิกดังกล่าวแล้ว และเงินซึ่งสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันยืมจากบริษัทนฤมิตรธนาคม จำกัด แล้วจำเลยทั้งสองโดยเจตนาทุจริต ได้บังอาจสมคบร่วมกันเบียดบังเงินค่าสมัคร…กับเงินยืมอันเป็นทรัพย์สินของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน”ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงวันเวลาที่บ่งว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) แล้วตามนัยฎีกาที่ ๘๖๑/๒๕๑๒ ระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ พลทหารปรีชา สิงห์โต จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน