คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6614/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การชำระหนี้ด้วยเช็คนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อเช็คนั้นเรียกเก็บเงินได้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา321วรรคท้ายเมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้หนี้ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในเช็คจึงยังไม่ระงับการที่จำเลยทั้งสองจะนำสืบว่าได้มีการชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวแล้วโดยไม่มีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือได้เวนคืนเอกสารแห่งการกู้หรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653วรรคสอง จำเลยมิได้ให้การไว้ว่าโจทก์ได้หักเงินจำนวน48,000บาทจากการขายฝากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการชำระหนี้เงินกู้ยืมเลยจำเลยทั้งสองจึงนำสืบการหักเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ให้การไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23กันยายน 2524 จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ 540,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 มอบเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาลำปาง จำนวนเงิน540,000 บาท ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ให้แก่โจทก์ทุกเดือนจนกว่าจะส่งต้นเงินคืนโจทก์ครบ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระเงินต้นดอกเบี้ยและค่าเสียหายอื่น ๆ ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระแก่โจทก์จนครบ ต่อมาเมื่อวันที่ 4กุมภาพันธ์ 2526 จำเลยที่ 2 ได้กู้เงินจากโจทก์ 90,000 บาทโดยจำเลยที่ 2 มอบเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ให้แก่โจทก์ทุกเดือนจนกว่าจำเลยที่ 2 จะส่งต้นเงินคืนให้โจทก์จนครบ โดยมีจำเลยที่ 1เป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ทั้งสิ้นนับแต่มีการกู้ยืมจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,043,554.79 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 630,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจำนวน540,000 บาท และจำเลยที่ 2 ได้กู้ยืมเงินจำนวน 90,000 บาท ไปจากโจทก์ตามสัญญากู้เงินตามฟ้องจริง แต่คิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีเท่านั้นจำเลยทั้งสองได้ชำระเงินตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 23 กันยายน 2524 ให้โจทก์ด้วยเงินบ้าน เช็คบ้างทุกเดือน ๆ ละ 15,250 บาท ตลอดมา จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2526ซึ่งเมื่อหักดอกเบี้ยและต้นเงินแล้ว จำเลยทั้งสองคงค้างต้นเงินเพียง340,819.52 บาท โดยไม่ค้างดอกเบี้ยอีก สำหรับสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2526 นั้น โจทก์ให้จำเลยทั้งสองส่งชำระดอกเบี้ยของต้นเงินตามสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับ ซึ่งค้างต้นเงินอยู่430,819.52 บาท ไปพร้อมกันนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2526 จำเลยที่ 2ได้ชำระให้โจทก์ทุกเดือนเดือนละ 16,000 บาท โดยชำระด้วยเงินสดบ้างซึ่งเมื่อคิดถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2527 จำเลยทั้งสองยังค้างชำระเงินตามสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับเพียง 216,707.69 บาท นับแต่เดือนมิถุนายน 2527 จำเลยทั้งสองไม่อาจส่งเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์จำเลยทั้งสองจึงตกลงขายที่ดินให้โจทก์ 3 แปลง โดยโจทก์ขอหักค่าที่ดินเอาชำระหนี้เงินกู้ที่ค้างชำระเป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2527 จำเลยทั้งสองยังคงค้างชำระต้นเงินตามสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับอยู่เพียง 122,125.38 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน540,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่23 กันยายน 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และร่วมกันชำระเงินจำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้หักเงินจำเลย 204,250 บาท ออกจากเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระแก่โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การชำระหนี้ด้วยเช็คนั้นจะสมบูรณ์ ต่อเมื่อเช็คนั้นเรียกเก็บเงินได้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคท้าย เมื่อเช็ค สองฉบับดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้หนี้ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในเช็คจึงยังไม่ระงับ การที่จำเลยทั้งสองจะนำสืบว่า ได้มีการชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวแล้วโดยไม่มีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือได้เวนคืนเอกสารแห่งการกู้หรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้นำเงินไปชำระหนี้ให้โจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คเอกสารหมาย ล.39 และ ล.83 แล้ว ส่วนเช็คตามเอกสารหมาย ล.45 และ ล.47 ที่จำเลยทั้งสองได้สั่งจ่ายชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ แต่ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีการนำเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีโจทก์และเรียกเก็บเงินตามเช็คเมื่อจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการนำเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีโจทก์และเรียกเก็บเงินได้แล้วจะให้รับฟังว่ามีการเรียกเก็บเงินตามเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวแล้วหาได้ไม่ข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์ได้หักเงินจากการขายฝากที่ดินพร้อมตึกแถวตามเอกสารหมาย ล.86 เป็นเงินจำนวน 48,000 บาทและหักเงินจากการขายที่ดิน 4 แปลง ตามเอกสารหมาย ล.90 ถึง ล.92และ ล.104 เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท ไว้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.3 นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองมิได้ให้การไว้ว่า โจทก์ได้หักเงินจำนวน 48,000 บาท จากการขายฝากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการชำระหนี้เงินกู้ยืมเลย จำเลยทั้งสองจึงนำสืบการหักเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ให้การไว้ ส่วนที่อ้างว่ามีการหักเงินจำนวน 10,000 บาท ไว้เป็นส่วนหนึ่งในชำระหนี้เงินกู้ยืมโดยอ้างว่าโจทก์ได้ชำระเงินค่าซื้อที่ดินให้จำเลยที่ 2 ด้วยเช็คเอกสารหมาย ล.93 ถึง ล.94 และ ล.111 ถึง ล.113และเงินสดกับเช็คอื่นอีกจนครบจำนวนเงินที่ซื้อขายแต่โจทก์ได้หักไว้จำนวน 100,000 บาท เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมส่วนหนึ่งที่จำเลยทั้งสองค้างชำระโจทก์อยู่นั้น เห็นว่าเงินจำนวน 100,000 บาท ที่อ้างว่าโจทก์ได้หักไว้นั้น จำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้กู้มาแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าโจทก์ได้หักเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นการชำระหนี้เลย ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองที่อ้างว่ามีการหักหนี้จำนวน 100,000 บาท ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น
ฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายที่ว่า จำเลยเงินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองได้ชำระให้โจทก์ไปแล้วให้หักออกจากจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสองต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษานั้นต้องหักให้ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2527 เป็นต้นไป ไม่ใช่คิดหักนับแต่วันที่ที่จำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษานั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.1 และ ล.3ให้โจทก์ด้วยเช็คหลายฉบับ ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามเช็คแต่ละฉบับเมื่อใด จำเลยทั้งสองเพียงแต่กล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ ว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายวันที่ 13 กันยายน 2527 จึงขอให้คิดหักเงินที่ชำระหนี้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2527 เป็นต้นไป เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อใด อีกทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อใดบ้าง จึงให้นำเงินตามจำนวนทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์แล้วไปหักออกจากยอดหนี้ที่จำเลยทั้งสองค้างชำระอยู่ตามสัญญากู้เงินฉบับแรกตามเอกสารหมาย ล.1 ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2529 ซึ่งเป็นวันฟ้อง รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งสองได้ชำระให้โจทก์ไปแล้วจำนวน 252,700 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน540,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่23 กันยายน 2524 เป็นต้นไปจนถึงวันฟ้อง โดยให้หักเงินจำนวน252,700 บาท ที่จำเลยทั้งสองชำระให้โจทก์แล้วออกจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนหากมีเหลือให้หักชำระเงินต้นและให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวในเงินที่ค้างชำระนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share