คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6613/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับ อ. ร่วมกันแผ้วถางป่า ขุดดิน และต้นไม้ ปลูกที่อยู่อาศัย ก่อสร้าง และยึดถือครอบครองป่า ซึ่งเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับ อ. เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดเป็นผู้สนับสนุน และโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานเป็นตัวการร่วม ความผิดฐานเป็นตัวการร่วมจึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การที่โจทก์กลับมาฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับ อ. ตามฟ้อง จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 5 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2545 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามกับนางอ่อนแก้ว จำเลยที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 527/2546 ของศาลชั้นต้น ร่วมกันแผ้วถางป่า ขุดดินและต้นไม้ปลูกที่อยู่อาศัย ก่นสร้าง และยึดถือครอบครองป่า เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน บริเวณป่าหมู่ที่ 11 ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมิใช่เขตที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศจำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรม อันเป็นการก่อสร้าง แผ้วถาง ทำลายป่า ยึดถือและครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 54, 55, 72 ตรี, 74 ทวิ, 74 จัตวา ให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากเขตป่าจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 55 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 8 เดือน ปรับคนละ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากเขตป่า คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามกับนางอ่อนแก้ว ร่วมกันแผ้วถางป่า ขุดดินและต้นไม้ ปลูกที่อยู่อาศัย ก่อสร้าง และยึดถือครอบครองป่า ซึ่งเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับนางอ่อนแก้ว เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดเป็นผู้สนับสนุน และโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานเป็นตัวการร่วม ความผิดฐานเป็นตัวการร่วมจึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การที่โจทก์กลับมาฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับนางอ่อนแก้วตามฟ้อง จึงเป็นการฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 5 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share