คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3395/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและสภาพการจ้างที่โจทก์ทำกับบริษัทน.ผู้เป็นนายจ้างเดิมของโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงสุดของค่าจ้างอัตราสุดท้ายถึง 18 เดือน เมื่อจำเลยซื้อกิจการจากบริษัทน. จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยต่อแสดงว่าจำเลยยอมรับตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับบริษัทเดิมในเรื่อง ค่าชดเชยด้วย ทั้งตามสัญญาจ้างมิได้ระบุยกเว้นห้ามโจทก์ มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับบริษัทเดิมไว้ กรณีจึงถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่โจทก์ทำไว้กับบริษัทเดิมในเรื่องการจ่ายค่าชดเชยกรณีมีการเลิกจ้าง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงสุด 18 เดือนของค่าจ้างอัตราสุดท้าย พยานเอกสารหมาย จ.1 เป็นสำเนาเอกสารมีการส่งข้อความ ทางโทรสารมาจากบริษัทน.จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งต้นฉบับเอกสารย่อมอยู่ที่บริษัทดังกล่าวในต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารหมาย จ.1 มาได้โดยประการอื่น ศาลแรงงานกลางย่อมอนุญาตให้โจทก์ นำสำเนาเอกสารหมาย จ.1 มานำสืบและฟังเป็นพยานหลักฐาน ของโจทก์ได้ ไม่ขัดกับบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) การที่ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและสภาพการจ้าง ของบริษัทจำเลยข้อ 4.1 ระบุว่า “แม้ว่าจะมีอะไรในนโยบายนี้ บริษัทมีสิทธิจะเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากสาเหตุอันสมควรนี้ เมื่อใดก็ได้ ในกรณีที่มีการเลิกจ้างเนื่องจากสาเหตุอันควรนี้ พนักงานจะไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง และไม่มีสิทธิ ได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ” นั้นเป็นการระบุกว้าง ๆ ไว้ โดยไม่ได้ระบุว่ามีสาเหตุอันสมควรประการใดบ้างที่นายจ้าง จะเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย กรณียังไม่ถือว่า ขัดกับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ในเรื่องค่าชดเชยแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ จำเลยแถลงรับกันว่าจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 6 เดือน เป็นเงิน 386,880 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 128,960 บาท ค่าทดรองจ่ายที่โจทก์ทดรองไปก่อน กับค่าวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นเงิน 72,494.30 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับไปแล้ว โจทก์แถลงไม่ติดใจ เรียกร้องเงินจำนวนอื่นนอกจากที่ได้กำหนดไว้ในประเด็นพิพาทคือจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์อีกเป็นเงิน 773,760 บาท หรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าขาดประโยชน์ในอนาคตแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์เคยทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทเนาสโกเวลล์ เซอร์วิส จำกัด ตั้งแต่ปี 2527 เงินเดือนสุดท้าย 62,000 บาท ต่อมาจำเลยได้ซื้อกิจการจากบริษัทดังกล่าวจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานกับจำเลย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2539 ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 64,480 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2541 การที่จำเลยยอมให้ถือการทำงานของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2527 ตามสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 5 เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยตกลงยอมให้คิดอายุการทำงานกับบริษัทเนาสโกเวลล์ เซอร์วิส จำกัด มาเป็นอายุการทำงานกับจำเลย เพื่อจะให้มีผลต่อโจทก์ที่จะมีสิทธิรับค่าตอบแทนหรือเงินค่าชดเชยในกรณีมีการเลิกจ้างเป็นกรณีพิเศษกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นการยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่โจทก์ทำไว้กับบริษัทเดิมในเรื่องการจ่ายค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง ตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 18 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงสุด 18 เดือนจำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เพียง 6 เดือน จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์อีก 12 เดือนพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 773,760 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่าตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการทำขึ้นระหว่างโจทก์และจำเลยและเป็นสัญญาที่ปรากฏเจตนาของคู่สัญญา การกำหนดวันเริ่มทำงานของโจทก์ไว้ในข้อ 5 เพื่อโจทก์จะได้รับสิทธิพิเศษในเรื่องการนับระยะเวลาในการทำงาน เพื่อให้มีผลในการคำนวณค่าชดเชยเมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างเท่านั้น มิใช่จำเลยยอมรับตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแต่อย่างใด เมื่อนับเวลาที่โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยจนถึงวันเลิกจ้างเป็นเวลาเพียง 1 ปี 9 เดือนเศษ เมื่อคิดค่าชดเชยตามเอกสารหมาย ล.3 โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากจำเลยเพียง 3 เดือน แต่โจทก์ตกลงกับจำเลยให้คิดระยะเวลาการทำงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2527 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำนวน 6 เดือนของค่าจ้างอัตราสุดท้ายเท่านั้น เห็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่โจทก์ทำกับบริษัทเนาสโกเวลล์ เซอร์วิส จำกัด ผู้เป็นนายจ้างเดิมของโจทก์ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 1.8 โจทก์ทำงานมากกว่า 2 ปี เงินเดือนพื้นฐาน 6 เดือนบวก 1 เดือน สำหรับทุกปีที่ทำงานครบซึ่งเกินจากเวลาทำงาน 2 ปี เงินชดเชย เมื่อถูกเลิกจ้างสูงสุด เงินพื้นฐาน 18 เดือน แสดงว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงสุดของค่าจ้างอัตราสุดท้ายถึง 18 เดือน เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เคยทำงานกับบริษัทเนาสโกเวลล์ เซอร์วิส จำกัด ตั้งแต่ปี 2527 เมื่อจำเลยซื้อกิจการจากบริษัทดังกล่าว จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยต่อเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2539 แสดงว่าจำเลยยอมรับตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับบริษัทดังกล่าวในเรื่องค่าชดเชยตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 1.8 ด้วยทั้งตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.1 มิได้ระบุยกเว้นมิให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 1.8 ระหว่างโจทก์กับบริษัทเดิมไว้กรณีจึงถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่โจทก์ทำไว้กับบริษัทเดิมในเรื่องการจ่ายค่าชดเชยกรณีมีการเลิกจ้างตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 1.8 ดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไว้เช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสูงสุด 18 เดือนของค่าจ้างอัตราสุดท้าย จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์อีกเท่ากับค่าจ้าง 12 เดือน ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยขึ้นนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.2 ว่า ตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 7 ได้กำหนดให้มีผลบังคับในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2539 ภายหลังจากที่โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจ้างกับจำเลยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจ้างกับจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2539 ถือว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์และนายจ้างเดิมได้ระงับไปแล้วนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อดังกล่าวจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.3.1 ว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 การอ้างเอกสารเป็นพยานให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้น ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.1 เป็นเพียงสำเนาเอกสาร โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับ จึงไม่อาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้นั้น เห็นว่าตามมาตรา 93 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไว้ว่าการอ้างเอกสารเป็นพยานให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้น แต่มีข้อยกเว้นใน (2) ถ้าไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นศาลจะอนุญาตให้นำสำเนามาสืบก็ได้ เห็นได้ว่า ตามเอกสารหมาย จ.1เป็นสำเนาเอกสารมีการส่งข้อความทางโทร สารมาจากบริษัทเนาสโกเวลล์ เซอร์วิส จำกัด จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียซึ่งต้นฉบับเอกสารย่อมอยู่ที่บริษัทดังกล่าวในต่างประเทศ กรณีย่อมถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารหมาย จ.1 มาได้โดยประการอื่น ศาลแรงงานกลางย่อมอนุญาตให้โจทก์นำสำเนาเอกสารหมาย จ.1 มานำสืบและฟังเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้ไม่ขัดกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตราดังกล่าว ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.3.2 ว่า ตามเอกสารหมาย จ.1 ไม่อาจรับฟังได้เนื่องจากขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานเกี่ยวกับค่าชดเชยซึ่งตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 1.8 ในเรื่องอัตราค่าชดเชย เมื่อถูกเลิกจ้างและข้อ 4.1 และ 4.2 การเลิกจ้างเนื่องจากเหตุอันควรที่ไม่ได้รับค่าชดเชย เป็นการกำหนดเงื่อนไขการจ่ายค่าชดเชย และข้อยกเว้นการจ่ายค่าชดเชยแตกต่างจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานจึงตกเป็นโมฆะนั้นเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 ในเรื่องค่าชดเชยซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างดังต่อไปนี้ “(3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปีขึ้นไปโดยรวมวันหยุด วันลา และวันที่นายจ้างสั่งให้หยุดงานเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวันหรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย” จะเห็นได้ว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อดังกล่าวใน (3) ระบุว่าลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบสามปีนายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากกรณีที่นายจ้างตกลงกับลูกจ้างในการจ่ายค่าชดเชยให้สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวัน อันเป็นคุณแก่ลูกจ้างแล้วย่อมกระทำได้ และถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีผลบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างตามข้อตกลงนั้น เช่นนี้ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในการจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างสูงสุดถึง 18 เดือนตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 1.8 ย่อมมีผลใช้บังคับระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้ โดยไม่ขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อดังกล่าวแต่อย่างใดส่วนตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 4.1 ที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นเป็นเรื่องการเลิกจ้างเนื่องจากสาเหตุอันสมควร ซึ่งระบุว่า”แม้ว่าจะมีอะไรในนโยบายนี้ บริษัทมีสิทธิจะเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากสาเหตุอันสมควรเมื่อใดก็ได้ ในกรณีที่มีการเลิกจ้างเนื่องจากสาเหตุอันควรนี้ พนักงานจะไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เมื่อถูกเลิกจ้าง และไม่มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ” นั้น เห็นว่า การเลิกจ้างเนื่องจากสาเหตุอันสมควร ตามข้อ 4.1 นี้เป็นการระบุกว้าง ๆ ไว้ โดยไม่ได้ระบุว่ามีสาเหตุอันสมควรประการใดบ้างที่นายจ้างจะเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย กรณียังไม่ถือว่าขัดกับประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46ในเรื่องค่าชดเชยแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 4.2 นั้นก็ปรากฏว่าในข้อดังกล่าวเป็นเรื่องที่นายจ้างจะเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากสาเหตุอันสมควรในช่วงระยะเวลา 12 เดือน หลังจากเปลี่ยนแปลงการควบคุมกิจการนั้น ซึ่งบริษัทจะต้องแจ้งพนักงานอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 60 วัน หาได้มีการกล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องค่าชดเชยแต่อย่างใดไม่ อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share