คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6611/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องชาวบ้านมาชุมนุมกันประมาณ 600 ถึง 800 คนเพื่อขอให้ย้ายสถานีทดลองยางออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุ เนื่องมาจากได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่เลี้ยงสัตว์ แสดงว่าประชาชนที่มาชุมนุมนั้นได้ใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์บางส่วนที่จะใช้เป็นสถานีทดลองยางเป็นที่ดินสำหรับเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ในวันเกิดเหตุมีเจ้าพนักงานตำรวจประมาณ 150 คน เมื่อประชาชนพูดโจมตีด้วยเครื่องขยายเสียงเจ้าพนักงานตำรวจจึงให้หัวหน้าสถานีทดลองยางไปแก้ข้อกล่าวหาต่อประชาชนที่มาชุมนุมแต่เจรจาตกลงกันไม่ได้ ระหว่างเจรจามีประชาชนคนหนึ่งนำไม้ไปตีตุ่มน้ำและเสาของโรงเรือนเอนกประสงค์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นก็เริ่มมีความวุ่นวายโดยประชาชนเริ่มปาสิ่งของแล้วจุดคบเพลิงปาไปที่หลังคาจาก ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้เริ่มก่อเหตุวุ่นวายขึ้น จำเลยเพียงร่วมอยู่ในกลุ่มประชาชนที่มาชุมนุมและร่วมกับประชาชนอื่นอีกเป็นจำนวนมากก่อเหตุร้าย ผลของความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากผู้คนเป็นจำนวนมาก มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพียงคนเดียว ทั้งจำเลยอายุเพียง17 ปีเศษ อยู่ในเหตุการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนในที่เลี้ยงสัตว์และไม่พอใจทางราชการย่อมเป็นการยากที่จะใช้สติในวัยเช่นนั้นยับยั้งชั่งใจไม่ร่วมกับเหตุการณ์หรือห้ามปรามประชาชนไม่ให้ก่อเหตุร้าย จึงมีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบา โดยกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยในขั้นต่ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 138,140, 215, 217, 218, 295, 335, 362, 364 และ 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรก, 217 และ 218 (1)(4) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1)(4) จำคุก 20 ปี ยกฟ้องข้อหาอื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 15 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุได้มีกลุ่มผู้ประท้วงประมาณ600 ถึง 800 คน มาชุมนุมกันเพื่อขอให้ย้ายสถานีทดลองยางออกไปจากที่เกิดเหตุโดยอ้างว่าชาวบ้านไม่มีที่เลี้ยงสัตว์ นายบดี นพวงศ์ ณ อยุธยา หัวหน้าสถานีทดลองยางได้เข้าทำการเจรจาเพื่อทำการตกลงกับนายจำรัสหรือบาง ไม่ปรากฏนามสกุล แต่ผลการเจรจาตกลงกันไม่ได้ ทำให้ผู้ประท้วงกลุ่มหนึ่งเอาไม้ไปทุบตุ่มน้ำและเสาโรงเรือนอาคารเอนกประสงค์ และผู้ประท้วงบางคนจุดคบไฟเผาอาคารโรงเรือนที่มุงหลังคาจากบ้านพักที่ใช้เป็นเรือนรับรอง บ้านพักของนายบดีถูกเผาบางส่วน และมีทรัพย์สินเสียหายตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำฟ้อง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และวางเพลิงเผาทรัพย์โรงเรือนและโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ โจทก์มีนายบดีหัวหน้าสถานีทดลองยางนางสาวบุญยศ หรั่งทองหลาง นายวีระวัฒน์ แก้วคง นางสาวสมจิตร คงเป็นนิจ และร้อยตำรวจเอกกิตติ ฤทธิ์เวโรจน์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกัน เป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า หลังจากที่นายบดีเจรจาตกลงกับกลุ่มบุคคลที่มาประท้วงไม่ได้ผู้ประท้วงบางคนเริ่มใช้ไม้และก้อนอิฐขว้างอาคาร และกลุ่มผู้ประท้วงนี้นายวีระวัฒน์เห็นจำเลยอยู่ในกลุ่มด้วย นางสาวบุญยศเห็นจำเลยถือคบเพลิงรวมอยู่ด้วย ต่อจากนั้นนางสาวสมจิตรเห็นจำเลยร่วมกับพวกขว้างปาคบเพลิงขึ้นไปบนหลังคาอาคารเก็บพัสดุซึ่งทำด้วยหญ้าคาจนเกิดเพลิงไหม้อาคารดังกล่าวนั้น เห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวนอกจากจะอยู่ในที่เกิดเหตุร่วมกับจำเลยแล้ว ขณะเกิดเหตุก็เป็นเวลากลางวันและพยานโจทก์ทั้งหมดรู้จักกับจำเลยมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยก็นำสืบยอมรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุขณะที่เกิดเหตุนั้นด้วย เชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวจำจำเลยได้ ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับพวกพยานโจทก์ดังกล่าวมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้เชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกใช้คบเพลิงขว้างปาไปบนหลังคาอาคารเก็บพัสดุซึ่งทำด้วยหญ้าคาจนเกิดเพลิงลุกไหม้อาคารนั้น แม้จำเลยจะฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันโดยนางสาวสมจิตรเบิกความว่า พยานเห็นจำเลยถือคบเพลิงโยนขึ้นบนหลังคาอาคารเอนกประสงค์ นางสาวบุญยศเบิกความว่า พยานเห็นจำเลยโยนคบเพลิงที่ยังไม่ได้จุดไฟขึ้นไปบนหลังคา ร้อยตำรวจเอกกิตติ และนายดาบตำรวจประเสริฐ รักษาคุณ เบิกความว่าพยานทั้งสองเห็นจำเลยอยู่กับพวกกลุ่มวัยรุ่นแต่ไม่เห็นว่าจำเลยได้โยนคบเพลิงหรือไม่นางเนียม กันโพธิ์ เบิกความว่าขณะเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยช่วยเจ้าหน้าที่ขนของและได้ไปกินข้าวอยู่ที่เรือนครัวพร้อมกับเจ้าพนักงานตำรวจ นางสาวยิ้ม ชอบหาญเบิกความว่า ขณะที่เกิดเหตุพยานเห็นจำเลยถือคบเพลิงที่ยังไม่ได้จุดไฟอยู่ในกลุ่มชาวบ้านเห็นว่า พยานโจทก์ข้างต้นทุกปากเว้นแต่นางเนียมเบิกความว่า จำเลยมีคบเพลิงอยู่ในมืออยู่ในที่เกิดเหตุซึ่งเหตุการณ์ในขณะนั้นมีบุคคลเป็นจำนวนมากชุลมุนกันในลักษณะต่อเนื่องและใช้เวลานานพอสมควร ดังนั้น พยานโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแต่ละคนย่อมจะเห็นภาพลักษณ์เหตุการณ์ของจำเลยแตกต่างกันไปตามลำดับ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่า ขณะที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2535จำเลยมีอายุ 17 ปี 3 เดือนเศษ โดยจำเลยเกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2518 ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารท้ายฎีกา ขอให้ลงโทษขั้นต่ำนั้น เห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าเป็นเรื่องชาวบ้านมาชุมนุมกันประมาณ 600 ถึง 800 คน เพื่อขอให้ย้ายสถานีทดลองยางออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุด้วยเหตุที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่เลี้ยงสัตว์ ปรากฏจากคำเบิกความของนายบดีหัวหน้าสถานีทดลองยางดังกล่าวว่าเนื้อที่ของสถานีทดลองยางมีประมาณ 2,000 ไร่ ที่ดินดังกล่าวได้มาโดยกรมวิชาการเกษตรขอให้จังหวัดบุรีรัมย์เป็นผู้จัดหาให้ ทางจังหวัดบุรีรัมย์โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจึงจัดที่ดินสาธารณประโยชน์ให้จำนวน 2,000 ไร่ เพื่อสร้างสถานีทดลองยาง ส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินสำหรับประชาชนใช้เลี้ยงสัตว์ประชาชนใช้เก็บฟืนและมีประชาชนบุกรุกเข้าไปประมาณ 700 ไร่ ประชาชนที่บุกรุกแจ้งว่าจะออกจากที่ดินนั้นเมื่อเก็บพืชผลเสร็จแล้ว แต่เมื่อเก็บพืชผลเสร็จแล้วประชาชนดังกล่าวไม่ยอมออกไป สถานีทดลองยางจึงได้บุกเบิกที่ดินส่วนใหม่ต่อไปอีกประมาณ900 ไร่ แต่มีประชาชนบางส่วนที่ใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นสำหรับเลี้ยงสัตว์ไม่พอใจและต้องการให้ประชาชนที่บุกรุกที่ดินจำนวน 700 ไร่ ออกไปด้วย ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าประชาชนที่มาชุมนุมนั้นได้ใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์บางส่วนที่จะใช้เป็นสถานีทดลองยางเป็นที่ดินสำหรับเลี้ยงสัตว์อยู่แล้วในวันเกิดเหตุนายบดีเบิกความด้วยว่า มีเจ้าพนักงานตำรวจประมาณ 150 คน เมื่อประชาชนพูดโจมตีด้วยเครื่องขยายเสียงเจ้าพนักงานตำรวจจึงให้พยานไปแก้ข้อกล่าวหาต่อประชาชนที่มาชุมนุมพยานจึงออกไปเจรจากับกลุ่มประชาชนดังกล่าว คือนายจำรัสหรือบาง แต่เจรจาตกลงกันไม่ได้ในเรื่องที่จะให้ย้ายสถานีทดลองยางออกไปเพราะไม่อยู่ในอำนาจของพยาน ระหว่างเจรจานั้นมีประชาชนคนหนึ่งนำไม้ไปตีตุ่มน้ำและเสาของโรงเรือนเอนกประสงค์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นก็เริ่มมีความวุ่นวายโดยประชาชนเริ่มปาสิ่งของแล้วจุดคบเพลิงและปาไปที่หลังคาจาก จากข้อเท็จจริงดังกล่าวพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้เริ่มก่อเหตุวุ่นวายขึ้น ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่าจำเลยร่วมอยู่ในกลุ่มประชาชนที่มาชุมนุมและร่วมกับประชาชนอื่นอีกเป็นจำนวนมากก่อเหตุร้ายในคดีนี้ ผลของความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากผู้คนเป็นจำนวนมาก มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพียงคนเดียว ทั้งจำเลยอายุเพียง 17 ปีเศษ อยู่ในเหตุการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนในที่เลี้ยงสัตว์และไม่พอใจทางราชการย่อมเป็นการยากที่จะใช้สติในวัยเช่นนั้นยับยั้งชั่งใจไม่ร่วมกับเหตุการณ์หรือห้ามปรามประชาชนไม่ให้ก่อเหตุร้ายในคดีนี้ พฤติการณ์แห่งคดีนี้มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ปรากฏว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต จึงเห็นสมควรกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยในขั้นต่ำ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นยังหนักเกินไป ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือนทางนำสืบของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี 8 เดือน พิเคราะห์ถึงสภาพความผิด พฤติการณ์แห่งคดีและอายุของจำเลย ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแล้วเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีโดยให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้ โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 3 ปี ดังกล่าว และให้จำเลยทำงานบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share