แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์หรือไม่นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่ว่า ทรัพย์ในการกระทำผิดนั้นยังอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย เพราะเป็นเรื่องมอบให้รักษาเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้ทรัพย์นั้นหายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งศาลล่างเห็นว่าการครอบครองได้มอบให้อยู่กับจำเลยแล้วนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ฎีกาที่ว่าศาลจะต้องฟังพยานโดยตลอดก่อนวินิจฉัยคดีนั้นเป็นฎีกาเถียงดุลยพินิจ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจเป็นคนร้ายลักนาฬิกาของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้เสียหาย 1 ปากแล้วงดสืบพยานต่อไป เพราะคำผู้เสียหายมีว่า เวลาราวเที่ยงวันผู้เสียหายเดินผ่านร้านจำเลยซึ่งเคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน จำเลยจับข้อมือผู้เสียหายให้ซื้อของ ผู้เสียหายว่าไม่ซื้อ แล้วจะกลับมาซื้อ และดึงมือจากจำเลยนาฬิกาผู้เสียหายซึ่งสายหนังเก่าขาดหลุดอยู่ในมือจำเลย จำเลยแบให้ดูและว่านาฬิกาอยู่นี่ ผู้เสียหายว่าให้เก็บไว้ด้วย กินข้าวแล้วจะมาเอาเวลา 13.00 น. ผู้เสียหายมาที่ร้านจำเลยแต่ไม่พบจำเลย จนเวลา 15.00 น. จึงพบจำเลย จำเลยกลับปฏิเสธว่าไม่ได้เอานาฬิกาไป ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ เป็นเรื่องยักยอกมากกว่า ลงโทษจำเลยไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า (1) ที่โจทก์ฎีกาเรื่องว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์หรือไม่นั้นเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม
(2) ที่โจทก์ฎีกาว่าผู้เสียหายมอบนาฬิกาให้จำเลยรักษาต่อไปนั้นเป็นการมอบให้รักษาเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้ทรัพย์หายในระยะเวลาอันสั้น การครอบครองยังอยู่ที่ผู้เสียหาย ต้องมีผิดฐานลักทรัพย์นั้น เห็นว่าตามรูปคดีเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเจตนามอบการครอบครองนาฬิกาให้แก่จำเลยแล้ว
(3) ที่โจทก์ว่าศาลจะต้องฟังพยานโดยตลอดก่อนวินิจฉัยคดีจึงจะชอบด้วยวิธีพิจารณานั้น เห็นว่าเป็นเรื่องเถียงดุลพินิจของศาล พิพากษายืน