แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่โจทก์และจำเลยทำต่อกันเป็นแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา วงเงินไม่เกิน 4,000,000 บาทจำเลยใช้เช็คเบิกถอนเงินจากบัญชีครั้งสุดท้ายวันที่ 9 มกราคม 2539 จำนวน 509,000 บาท แล้วจำเลยได้นำเงินฝากเข้าบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2539 จำนวน 30,000 บาท หักทอนบัญชีแล้วมียอดหนี้ 4,070,147.21 บาท หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกถอนเงินจาก บัญชีอีก คงมีแต่รายการหนี้ค่าธรรมเนียมเช็คคืนและดอกเบี้ยที่โจทก์คิดทบต้นทุกเดือนจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเท่านั้นการที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คถอนเงินออกจากบัญชี แล้วโจทก์ไม่ยอมจ่ายเงินและคิดค่าธรรมเนียมเช็คคืนเมื่อวันที่ 22มกราคม 2539 แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเดินสะพัดทางบัญชีต่อไปและโจทก์หักทอนบัญชีในวันที่ 31 มกราคม 2539 ถือว่าเป็นการคิดหักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายภายหลังจากที่ไม่มี การเดินสะพัดทางบัญชีต่อกัน พฤติการณ์ของโจทก์และจำเลยดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่ มีต่อกันเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มกราคม 2539 ซึ่งเป็น วันคิดหักทอนบัญชีครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิ คิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 4,778,002.83 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,676,089.71 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้นำทรัพย์สินที่จำนองและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 4,710,177.82 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,070,143.71 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 ธันวาคม 2539) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แทน หากได้เงินไม่พอให้บังคับคดีทรัพย์สินอื่นของจำเลยชำระจนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน4,128,028.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2538 จำเลยเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันไว้แก่โจทก์และทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินไม่เกิน 4,000,000 บาท โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา จำเลยใช้เช็คเบิกเงินและนำเงินเข้าในบัญชีเดินสะพัดติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงวันที่ 10 มกราคม 2539 จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน 4,070,147.21 บาท ตามใบแจ้งรายการบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.13 แผ่นที่ 4 หลังจากยอดหนี้ในบัญชีจำเลยเกินวงเงินที่โจทก์อนุมัติแล้วโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยใช้เช็คเบิกถอนเงินจากบัญชีเดินสะพัดอีกต่อไปโจทก์ทวงถามแต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 2 ตุลาคม 2539 ให้จำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวซึ่งครบกำหนดในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2539 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์และจำเลยสิ้นสุดลงเมื่อใด เห็นว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.9 ไม่มีกำหนดระยะเวลา แต่ปรากฏว่าเมื่อจำเลยเบิกเงินเกินวงเงิน 4,000,000 บาท โจทก์ก็ทวงถามและไม่ยอมให้จำเลยเบิกถอนเงินอีกต่อไป และตามใบแจ้งรายการบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.13 แผ่นที่ 4 ปรากฏว่าจำเลยใช้เช็คเบิกถอนเงินจากบัญชีครั้งสุดท้ายวันที่ 9 มกราคม 2539 จำนวน 509,000 บาท แล้วจำเลยได้นำเงินฝากเข้าบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2539 จำนวน 30,000 บาท หักทอนบัญชีแล้วมียอดหนี้ 4,070,147.21 บาท หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีอีก คงมีแต่รายการหนี้ค่าธรรมเนียมเช็คคืนและดอกเบี้ยที่โจทก์คิดทบต้นทุกเดือนจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเท่านั้น กรณีที่เมื่อจำเลยสั่งจ่ายเช็คถอนเงินออกจากบัญชีโจทก์ก็ไม่ยอมจ่ายเงินและคิดค่าธรรมเนียมเช็คคืนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2539 แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเดินสะพัดทางบัญชีต่อไปและโจทก์หักทอนบัญชีในวันที่ 31 มกราคม 2539 ถือว่าเป็นการคิดหักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายภายหลังจากที่ไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีต่อกันพฤติการณ์ของโจทก์และจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มีต่อกันเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่31 มกราคม 2539 ซึ่งเป็นวันคิดหักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายซึ่งจำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 4,128,028.36 บาท หลังจากนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยอีก ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน