คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยแสดงเจตนายกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตีใช้หนี้และส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 525 ประกอบด้วยมาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่ที่ดินพิพาทมีแต่สิทธิครอบครองจึงถือได้ว่าจำเลยสละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทต่อไป เมื่อโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตามมาตรา 1377 และ 1378 อันเป็นการได้สิทธิครอบครองด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่ได้มาตามสัญญายกให้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2526 จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์และนายจำเนียร สามีโจทก์จำนวน 20,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กำหนดชำระเงินต้นคืนภายในวันที่ 1 มกราคม 2527 โดยจำเลยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1385 ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีโจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ครบกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ แต่จำเลยตกลงมอบที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่โจทก์และสามีโจทก์ โดยสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2526 (ที่ถูกปี 2527) เป็นต้นมาจนสามีโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2533 โจทก์ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้มีสิทธิรับมรดกของสามีคงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมาถึงปัจจุบัน ต่อมาโจทก์ประสงค์จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จึงแจ้งให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินให้ แต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1385 ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปดำเนินการ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์เพียง 14,000 บาท ไม่มีข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย เพราะจำเลยมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1385 ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชให้โจทก์และสามีโจทก์ทำกินและเก็บผลอาสินต่างดอกเบี้ย โดยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาทดังกล่าวให้โจทก์และสามีโจทก์ยึดไว้เป็นประกัน จำเลยไม่เคยสละการครอบครองที่ดินหรือตกลงยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้ให้แก่โจทก์และสามีโจทก์ หนี้เงินกู้ขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยไว้ต่อไปขอให้ยกฟ้องกับบังคับโจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืนให้แก่จำเลย และห้ามโจทก์กับบริวารเข้าไปเก็บผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยกู้เงินและรับเงินกู้จำนวน 20,000 บาท ไปครบถ้วนแล้ว และจำเลยตกลงยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท และไม่จำต้องคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
จำเลยอุทธรณ์ โดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค 8 อนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1385 ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช คืนให้จำเลย และห้ามโจทก์กับบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมของโจทก์และจำเลยในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2526 จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และสามีโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.2 โดยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1385 ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามเอกสารหมาย จ.3 ที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีโจทก์ยึดถือเป็นประกัน ทั้งอนุญาตให้โจทก์และสามีโจทก์เก็บกินผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ย เมื่อครบกำหนดชำระหนี้เงินกู้ในวันที่ 1 มกราคม 2527 จำเลยมิได้ชำระหนี้ให้ โจทก์และสามีโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา สามีโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2533 ตามใบมรณบัตร เอกสารหมาย จ.3 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์นำสืบว่า เมื่อครบกำหนดชำระหนี้เงินกู้แล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ แต่ตกลงยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้ให้ซึ่งขณะนั้นที่ดินมีราคาประมาณ 20,000 บาท หลังจากนั้นโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของโดยปลูกผัก ขุดร่อง ยกคันดินปลูกมะพร้าวเพิ่ม ปลูกต้นมะม่วง มังคุด และขุดบ่อน้ำ ทั้งเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจนทางราชการประกาศออกโฉนดที่ดินในเขตที่ดินพิพาท โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้ แต่จำเลยปฏิเสธ สำหรับจำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่เคยตกลงยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่โจทก์ การที่โจทก์ยังคงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาเป็นการเก็บกินผลประโยชน์ต่างดอกเบี้ยเนื่องจากจำเลยมิได้ชำระเงินต้นที่กู้ยืมแก่โจทก์ เหตุที่โจทก์มาฟ้องคดีมีสาเหตุมาจากก่อนถูกฟ้องราว 1 เดือน จำเลยนำเงินไปขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืน เห็นว่า โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินตามหนังสือสัญญากู้เงิน เอกสารหมาย จ.2 จำนวน 20,000 บาท ตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปี 2544 นานถึง 18 ปี โดยไม่ปรากฏว่า โจทก์มีการทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้และไม่ปรากฏว่าจำเลยขวนขวายชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้งที่โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา เป็นข้อแสดงว่า ทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงในเรื่องหนี้เงินกู้ดังกล่าวเป็นที่ยุติแล้ว ต่างฝ่ายจึงมิได้มีการดำเนินการเกี่ยวกับหนี้เงินกู้และที่ดินพิพาทอีก ทั้งโจทก์มีหลักฐานใบ ภ.บ.ท.6 เอกสารหมาย จ.5 ที่จำเลยเคยเสียภาษีบำรุงท้องที่ เมื่อปี 2521 เป็นพยานหลักฐานสนับสนุนว่า เมื่อจำเลยตกลงยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แล้วจำเลยได้มอบหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่ดินพิพาทก่อนการตกลงตีใช้หนี้ให้แก่โจทก์ เพื่อโจทก์ได้ใช้เป็นหลักฐานในการเสียภาษีบำรุงท้องที่ต่อ ซึ่งข้อนี้จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ด้วยว่า จำเลยไม่เคยไปเสียภาษีบำรุงท้องที่ด้วยตนเอง หากแต่ฝากเงินให้โจทก์ไปช่วยเสียภาษีให้แทนทุกปี นอกจากนี้แล้วยังได้ความจากตัวโจทก์ นายเอี้ยม และนายชำนาญ พยานโจทก์ว่าก่อนมีการฟ้องคดีนี้ราว 2 ปี ทางราชการประกาศออกโฉนดที่ดินในเขตที่ดินพิพาท โจทก์ไปติดต่อสำนักงานที่ดิน แต่ได้รับแจ้งเหตุขัดข้องว่า ต้องให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ก่อน โจทก์จึงไปพบจำเลยขอให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์จำเลยไม่ยอมโอนให้อ้างว่าจะชำระเงินที่กู้ยืมไปโจทก์ได้ให้นางสุดใจ ไปขอร้องจำเลยอีก เนื่องจากนางสุดใจเป็นลูกเลี้ยงจำเลย และลูกติดของนางสั่ว ภริยาจำเลย แต่ก็ไม่เป็นผล ซึ่งโจทก์มีนางสุดใจเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่าได้ไปเจราจาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์จริง แต่ไม่สำเร็จกลับทำให้พยานกับนางสั่ว มารดาโกรธเคืองจนไม่พูดจากันอีก ทำให้พยานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่า สาเหตุที่โจทก์ต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เนื่องมาจากโจทก์เรียกร้องให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้ ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เนื่องจากจำเลยนำเงินไปขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืน แต่โจทก์ไม่ยอมจำเลยได้ไปแจ้งต่อกำนันและแจ้งความที่สถานีตำรวจด้วยนั้นนอกจากจำเลยจะไม่มีหลักฐานการแจ้งความมาเป็นพยานแล้ว พยานจำเลยปากอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนางสั่วภริยาจำเลย หรือนางซั่ว ต่างเบิกความยอมรับว่า สาเหตุที่มีการฟ้องร้องคดีนี้เนื่องจากโจทก์ขอให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้ แต่จำเลยไม่ยอม พยานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อย การที่โจทก์ทวงถามให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ก่อนฟ้อง โดยจำเลยมิได้แสดงหลักฐานถึงการโต้แย้งข้อเรียกร้องดังกล่าวของโจทก์ให้ปรากฏ เป็นข้อสนับสนุนได้ประการหนึ่งว่า จำเลยเคยตกลงยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่โจทก์จริง ส่วนปัญหาที่นายเอี้ยมกับนายชำนาญพยานโจทก์เบิกความว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยเรียกให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยยินยอมชำระต้นเงินกู้ แต่ไม่ยอมชำระดอกเบี้ย โดยจำเลยอ้างว่าสัญญากู้ไม่ได้กำหนดดอกเบี้ย เพราะจำเลยยินยอมให้โจทก์และสามีโจทก์ทำกินในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยนั้น เรื่องนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าการเรียกร้องหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าวมีขึ้นเนื่องมาจากนายพงษ์ชัยกำนันตำบลคลองน้อย ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยให้หลังจากโจทก์และจำเลยมีปัญหาข้อแย้งกันแล้ว การที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย จึงอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการเจรจาไกล่เกลี่ยเท่านั้น ไม่อาจจะสรุปยุติได้ว่า ที่โจทก์เรียกร้องเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นเพราะไม่มีข้อตกลงยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่โจทก์ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่โจทก์จริง โจทก์จึงไม่ต้องคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องแก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่าจำเลยเพียงแต่มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์และสามีโจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายมีว่า จำเลยต้องจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้เป็นชื่อของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยแสดงเจตนายกที่ดินพิพาทซึ่งมีแต่สิทธิครอบครองตีใช้หนี้และส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ประกอบด้วยมาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทมีแต่สิทธิครอบครองจึงถือได้ว่าจำเลยสละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทต่อไป เมื่อโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และ 1378 อันเป็นการได้สิทธิครอบครองด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่ได้มาตามสัญญายกให้ โจทก์จึงหามีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อโจทก์ไม่”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share