แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่สั่งไม่ให้ถอนการยึดทรัพย์ต้องร้องต่อศาลภายใน 14 วันตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 เหตุที่ผู้ร้องอ้างว่าเสียเวลาศึกษาสำนวนความซึ่งใช้พยานหลักฐานหลายชุด และผู้รับมอบอำนาจเข้าใจผิด ไม่เป็นเหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลา
ย่อยาว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อายัดเงินของจำเลย ศาลส่งเงินไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้าน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งยกคำร้องผู้ร้องยื่นคำร้องหลังจากวันทราบคำสั่ง 30 วัน ขอขยายเวลาด้วย ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลโดยไม่จำเป็นต้องยื่นภายในกำหนด 14 วันนับแต่วันทราบคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น เห็นว่ากรณีของผู้ร้องเป็นเรื่องผู้ร้องคัดค้านว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินคือเงิน 800,000 บาท เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์สอบสวนและมีคำสั่งไม่ให้ถอนการยึด ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนับแต่วันทราบคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ดังที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 158 มิฉะนั้นย่อมถือว่าผู้ร้องหมดสิทธิ ตามคำร้องของผู้ร้องก็ยอมรับความข้อนี้อยู่แล้ว ฎีกาผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ผู้ร้องฎีกาว่า เหตุที่ผู้ร้องอ้างตามคำร้องถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ทนายความผู้ร้องต้องเสียเวลาศึกษาสำนวนความเพราะเป็นคดีเกี่ยวพันใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกันและผู้รับมอบอำนาจจากตัวความไม่เข้าใจภาษาไทยนั้น เหตุเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความ ส่วนที่ผู้รับมอบอำนาจจากตัวความเข้าใจผิดว่าจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 1 เดือน ก็มิใช่ข้อแก้ตัวที่จะยกขึ้นอ้างได้ เหตุตามคำร้องของผู้ร้องจึงถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยอันจะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาให้แก่ผู้ร้อง ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้ไต่สวนคำร้อง เห็นว่า เมื่อเหตุตามคำร้องมิใช่เหตุสุดวิสัยแล้วก็ไม่เป็นประโยชน์ที่จะต้องไต่สวน ฎีกาผู้ร้องสองข้อหลังฟังไม่ขึ้นดุจกัน
พิพากษายืน