แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พฤติการณ์ของจำเลยที่ขับรถพุ่งเข้าชนสิบตำรวจตรีป.ขณะเข้าทำการตรวจค้น ขับรถด้วยความเร็วสูงสลับกับการห้ามล้อหลายครั้งในขณะที่สิบตำรวจตรีป.นอนคว่ำหน้าอยู่บนฝากระโปรงด้านหน้าของรถที่จำเลยขับเพื่อให้สิบตำรวจตรีป.ตกจากรถ ล้วนแต่ มุ่งประสงค์ที่จะให้สิบตำรวจตรีป. เป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งสิ้น เมื่อไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 91, 138, 289 ริบของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง,89, 106 ทวิ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 จำคุกคนละ 10 ปีและจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80 และ 138 (ที่ถูก 138 วรรคสอง) อีกกระทงหนึ่ง การกระทำในกระทงนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 289, 80 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ริบของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 89 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี รวมแล้วคงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต จำเลยที่ 2จำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุสิบตำรวจตรีปราโมทย์กับพวกเจ้าพนักงานตำรวจด้วยกันรวม 5 คน ดักซุ่มที่โรงแรมไวท์อินน์เพื่อจับกุมจำเลยที่ 1ตามที่สืบทราบมาว่า จะมีการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนกันที่โรงแรมดังกล่าว ช่วงเกิดเหตุพอจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ปิกอัพเข้ามาที่โรงแรมและเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นจำเลยที่ 1 ก็รีบขับรถพุ่งเข้าชนสิบตำรวจตรีปราโมทย์ซึ่งยืนอยู่ทางด้านหน้ารถทันทีพฤติการณ์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างเหตุว่า ที่ทำเช่นนั้นเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ตกอยู่ในสภาวะที่กำลังตกใจเมื่อเห็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาทำการจับกุม กับอ้างว่าตนมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือหลบหนีให้พ้นการจับกุมเท่านั้น เห็นว่า หากจำเลยที่ 1 มีเจตนาหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมเพียงอย่างเดียว จำเลยที่ 1 ย่อมมีทางเลือกกระทำโดยประการอื่นได้โดยไม่จำต้องขับรถยนต์ปิกอัพพุ่งเข้าชนสิบตำรวจตรีปราโมทย์ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พวกเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมไปกันหลายคน นอกจากนี้ยังมีเจ้าพนักงานตำรวจบางนายได้ขึ้นไปอยู่หลังกระบะรถของจำเลยที่ 1 ถ้าหากจำเลยที่ 1มีเจตนาฆ่าสิบตำรวจตรีปราโมทย์แล้ว ก็ยังไม่สามารถหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจผู้อื่นได้นั้น เห็นว่า ตามวิสัยของคนร้ายผู้หลบหนีความผิดซึ่งหน้าที่ตนได้กระทำลงไปนั้นย่อมกระทำการได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดโดยมิพักต้องคำนึงถึงว่าผู้ที่ติดตามจับกุมจะมีจำนวนมากน้อยสักเพียงใด ส่วนที่ปรากฏว่าขณะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ปิกอัพพุ่งเข้าชนสิบตำรวจตรีปราโมทย์ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้ารถ แต่สิบตำรวจตรีปราโมทย์กระโดดหลบขึ้นไปนอนคว่ำหน้าบนฝากระโปรงหน้ารถที่จำเลยที่ 1 ขับได้ทัน พวกเจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมไปด้วยต่างกระโดดขึ้นรถทางด้านกระบะหลัง จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วสูงสลับกับการห้ามล้อหลายครั้ง จนกระทั่งพวกเจ้าพนักงานตำรวจที่กระโดดขึ้นรถทางด้านกระบะหลังช่วยสิบตำรวจตรีปราโมทย์ได้ทัน ความข้อนี้จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าช่วงระยะทางดังกล่าวไม่ไกลนัก จำเลยที่ 1 ไม่น่าจะขับเร็วเกินไป พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าตกอยู่ในภาวะที่พวกเจ้าพนักงานตำรวจกำลังติดตามจับกุม ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องขับรถเร็วเพื่อหลบหนี ส่วนสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสลับการห้ามล้อ จำเลยที่ 1 อ้างว่าเพื่อที่จะให้สิบตำรวจตรีปราโมทย์มีโอกาสกระโดดลงจากรถ พิจารณาแล้ว หากจำเลยที่ 1 ต้องการเช่นนั้นจริง จำเลยที่ 1ก็น่าจะหยุดรถเสียเลยทีเดียว พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ขับรถพุ่งเข้าชนสิบตำรวจตรีปราโมทย์ก็ดี ขับรถด้วยความเร็วสูงสลับกับการห้ามล้อหลายครั้งในขณะสิบตำรวจตรีปราโมทย์นอนคว่ำหน้าอยู่บนฝากระโปรงด้านหน้าของรถที่จำเลยขับเพื่อให้สิบตำรวจตรีปราโมทย์ตกจากรถก็ดี ล้วนแต่มุ่งประสงค์ที่จะให้สิบตำรวจตรีปราโมทย์เป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งสิ้น เมื่อสิบตำรวจตรีปราโมทย์ไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน