แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ทนายความจะยื่นคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการแต่งตั้งให้เป็นทนาย จะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าทนายความผู้นั้นได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้วเว้นแต่จะหาตัวความไม่พบ แต่ตามคำร้องที่ทนายจำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นขอถอนตนจากการเป็นทนายจำเลยนั้นไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้แจ้งเรื่องการขอถอนตนให้จำเลยทราบแล้ว และมิใช่กรณีที่หาตัวจำเลยไม่พบการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการเป็นทนาย จึงชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยนำพยานมาสืบถึง 3 นัดและกำชับมิให้จำเลยเลื่อนคดีมาโดยตลอด แต่จำเลยก็มิได้ใส่ใจที่จะนำพยานมาสืบตามคำสั่งของศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่พยานจำเลยก็มีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถจะสืบให้เสร็จสิ้นได้ในนัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏจากคำร้องขอถอนตนของทนายจำเลยเองว่าจำเลยทราบวันนัดแล้วแต่ก็มิได้เดินทางมาเบิกความต่อศาลชั้นต้นตามนัด ซึ่งทนายจำเลยเห็นว่า การที่จำเลยไม่มาศาล 3 นัด ติดต่อกันเป็นการจงใจไม่มาศาลมีลักษณะประวิงคดีให้ล่าช้า ทนายจำเลยจึงขอถอนตนจากการเป็นทนายดังกล่าว เป็นการยอมรับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีจริง ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า เมื่อจำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนิน กระบวนพิจารณาแทนตนก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของทนายความที่ตนแต่งตั้ง จำเลยจะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดเพราะทนายความไม่แจ้งให้ทราบไม่ได้ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,172,827.90 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน194,990.12 บาท และต้นเงิน 538,904.05 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อนและโจทก์สืบพยานเสร็จแล้วในวันนัดสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนตนจากการเป็นทนายจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยแจ้งให้จำเลยทราบเรื่องการขอถอนตนจึงไม่อนุญาตให้ยกคำร้อง และให้งดสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนและขอให้เพิกถอนคำสั่งงดสืบพยานจำเลย แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการเป็นทนายของจำเลยนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคหนึ่งการที่ทนายความจะยื่นคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการแต่งตั้งให้เป็นทนาย จะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจ แก่ศาลว่าทนายความผู้นั้นได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว เว้นแต่จะหาตัวความไม่พบแต่ตามคำร้องลงวันที่ 24 ธันวาคม 2539 ทีทนายจำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นขอถอนตนจากการเป็นทนายจำเลยนั้น ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้แจ้งเรื่องการขอถอนตนให้จำเลยทราบแล้วแต่อย่างใดและมิใช่กรณีที่หาตัวจำเลยไม่พบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการเป็นทนาย จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคหนึ่ง แล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย ประการสุดท้ายมีว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลย ชอบหรือไม่ เห็นว่า ในวันที่13 มิถุนายน 2539 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วทนายจำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลย คือ ตัวจำเลยเพียงปากเดียวจะสืบให้เสร็จใน 1 นัด ศาลชั้นต้นจึงนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 29 สิงหาคม 2539 และกำชับคู่ความให้เตรียมพร้อมสืบพยานในวันนัดด้วย เมื่อถึงวันนัดดังกล่าว ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนโดยอ้างว่าจำเลยไปทำธุรกิจที่ประเทศพม่า ไม่สามารถติดต่อได้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 30 ตุลาคม 2539และกำชับทนายจำเลยให้เตรียมพยานมาพร้อมสืบในวันนัดแต่เมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่าป่วยมีอาการปวดศีรษะกะทันหันศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยหรือฟังคำพิพากษาวันที่ 24 ธันวาคม 2539 และกำชับจำเลยว่าในวันนัดให้นำพยานมาสืบให้แล้วเสร็จ มิฉะนั้นถือว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดี และจะมีคำสั่งต่อไป ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยกลับยื่นคำร้องขอถอนตนจากการเป็นทนายจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตน และถือว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีไม่มีพยานมาสืบ จึงงดสืบพยานและพิพากษาคดีไปดังนี้เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยนำพยานมาสืบถึง 3 นัด และกำชับมิให้จำเลยเลื่อนคดีมาโดยตลอด แต่จำเลยก็มิได้ใส่ใจที่จะนำพยานมาสืบตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่อย่างใดทั้ง ๆ ที่พยานจำเลยก็มีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถจะสืบให้เสร็จสิ้นได้ในนัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏจากคำร้องขอถอนตนของทนายจำเลยเองว่า จำเลยทราบวันนัดแล้ว แต่ก็มิได้เดินทางมาเบิกความต่อศาลชั้นต้นตามนัดซึ่งทนายจำเลยเห็นว่าการที่จำเลยไม่มาศาล 3 นัด ติดต่อกันเป็นการจงใจไม่มาศาลมีลักษณะประวิงคดีให้ล่าช้า ทนายจำเลยจึงขอถอนตนจากการเป็นทนาย ดังกล่าวเป็นการยอมรับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีจริง ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่า จำเลยมอบหมายให้ทนายจำเลยดำเนินกระบวนพิจารณาแทน จึงไม่ทราบวันนัดของศาลเพราะทนายจำเลยมิได้แจ้งวันนัดให้จำเลยทราบนั้น ก็ขัดกับคำร้องขอถอนตนของทนายจำเลยที่ยืนยันว่าจำเลยทราบวันนัดแล้วทั้ง 3 นัด แต่จงใจไม่มาศาลมีลักษณะประวิงคดีดังกล่าวแล้ว และศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของทนายความที่ตนแต่งตั้ง จะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดเพราะทนายความไม่แจ้งให้ทราบนั้นฟังไม่ขึ้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน