คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6570/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สภาพศพผู้ตายมีรอยช้ำที่ขาทั้งสองข้างเนื่องจากถูกของแข็งกระทบกระแทกโดยเฉพาะที่หัวเข่าและหน้าแข้งหลายแห่ง และจำเลยใช้เหล็กยกน้ำหนักทุบตีผู้ตายที่ศีรษะจนผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ไม่ได้ความชัดแจ้งว่า จำเลยได้ทรมานหรือกระทำการทารุณโหดร้ายผู้ตายอย่างไร ประกอบกับเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะวิวาทและทำร้ายกันระหว่างจำเลยกับผู้ตาย การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากันมีบุตรด้วยกัน 4 คน บุตรคนแรกมีอายุประมาณ 24 ปี ผู้ตายทำมาหากินและอาศัยอยู่ด้วยกันย่อมจะต้องมีเรื่องระหองระแหงกระทบกระทั่งกัน และไม่เข้าใจกันบ้างเป็นปกติธรรมดา จำเลยซึ่งเป็นสามีและเป็นหัวหน้าครอบครัวควรจะมีความหนักแน่นอดทนและอดกลั้น การที่ผู้ตายบอกจำเลยว่าได้นำเงินที่จำเลยมอบให้เพื่อนำไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ไปใช้ส่วนตัว และผู้ตายนำเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยกับเงินที่ขายรถยนต์บรรทุกหกล้อไปให้ชู้นั้น ผู้ตายก็พูดเพื่อเป็นการประชดประชันจำเลยเท่านั้น ส่วนที่ผู้ตายด่าจำเลยว่า ไอ้เหี้ยก็เกิดขึ้นเมื่อจำเลยกับผู้ตายต่างฝ่ายต่างขาดความอดทนและอดกลั้นได้สมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกันจนถึงขั้นทำร้ายกัน ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการด่าว่ากัน การที่จำเลยกับผู้ตายทะเลาะวิวาทกันจึงเป็นเรื่องภายในครอบครัว กรณีมิใช่เรื่องร้ายแรงที่จำเลยจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยทราบก่อนเกิดเหตุหลายวันว่าเงินได้ขาดหายไป ดังนี้ จึงไม่ใช่เหตุข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงไม่ใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72
จำเลยต้องการทำร้ายผู้ตาย แม้ผู้ตายจะได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยก็ตามแต่เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดจำเลยเป็นฝ่ายก่อขึ้นก่อน การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงไม่เป็นการป้องกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288, 289(5) และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ให้ลงโทษประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 52(1) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ทำร้ายนางมาเรียม แดงประดิษฐ์ ผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยฆ่าผู้ตาย โจทก์คงมีแต่รายงานการตรวจศพ รายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.12 ภาพถ่ายศพผู้ตายและภาพถ่ายสภาพห้องที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย จ.3 ถึง จ.8 แม้ว่าภาพถ่ายศพผู้ตายหมาย จ.3 สภาพศพผู้ตายมีรอยช้ำที่ขาทั้งสองข้างเนื่องจากถูกของแข็งกระทบกระแทก โดยเฉพาะที่หัวเข่าและหน้าแข้งหลายแห่ง และจำเลยใช้เหล็กยกน้ำหนักทุบตีผู้ตายที่ศีรษะจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ความชัดแจ้งว่า จำเลยได้ทรมานหรือกระทำการทารุณโหดร้ายผู้ตายอย่างไร ประกอบกับสภาพท้องที่เกิดเหตุมีสิ่งของถูกรื้อค้นกระจัดกระจายและจำเลยก็ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เดียวกัน เชื่อว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะวิวาทและทำร้ายกันระหว่างจำเลยกับผู้ตาย การที่จำเลยฆ่าผู้ตายไม่เข้าลักษณะเป็นการทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ฟังไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย

ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยฆ่าผู้ตายเพราะเหตุบันดาลโทสะและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากันมีบุตรด้วยกัน 4 คน บุตรคนแรกมีอายุประมาณ 24 ปี ผู้ตายทำมาหากินและอาศัยอยู่ด้วยกันย่อมจะต้องมีเรื่องระหองระแหงกระทบกระทั่งกัน และไม่เข้าใจกันบ้างเป็นปกติธรรมดา จำเลยซึ่งเป็นสามีและเป็นหัวหน้าครอบครัวควรจะมีความหนักแน่นอดทนและอดกลั้นให้มากกว่านี้ ที่จำเลยเบิกความว่า ผู้ตายนำเงินที่จำเลยมอบให้เพื่อนำไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ไปใช้ส่วนตัว นอกจากนี้จำเลยตรวจพบว่าเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารได้หายไปประมาณ 500,000 ถึง 600,000 บาท และเงินที่ขายรถยนต์บรรทุกหกล้อจำนวน 500,000บาท ได้หายไปนั้นยังไม่แน่ชัดว่าผู้ตายเป็นคนนำเงินจำนวนดังกล่าวไปจริงหรือไม่ ที่จำเลยเบิกความว่าผู้ตายบอกว่าเป็นคนนำเงินจำนวนดังกล่าวไปให้ชู้นั้น ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่เช่นกัน ผู้ตายอาจจะพูดขึ้นเพื่อเป็นการประชดประชันจำเลยเท่านั้น ส่วนที่ผู้ตายด่าจำเลยว่าไอ้เหี้ยนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยกับผู้ตายต่างฝ่ายต่างขาดความอดทนและอดกลั้นได้สมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกันจนถึงขั้นทำร้ายกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการด่าว่ากันเช่นนี้ กรณีที่จำเลยกับผู้ตายทะเลาะวิวาทกันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของจำเลยและผู้ตายไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่จำเลยจะต้องฆ่าผู้ตายทั้งจำเลยทราบก่อนเกิดเหตุหลายวันว่าเงินได้ขาดหายไป กรณีจึงไม่ใช่เหตุข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงไม่ใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ส่วนที่จำเลยฆ่าผู้ตายโดยอ้างเหตุป้องกันโดยชอบนั้น เห็นว่า จำเลยต่อสู้ว่าเมื่อจำเลยพบว่าเงินได้ขาดหายไป จำเลยจึงโมโหผู้ตายและโต้เถียงกับผู้ตายจนกระทั่งมีการทำร้ายซึ่งกันและกัน ประกอบกับสภาพท้องที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย จ.3 ถึง จ.8 สิ่งของถูกรื้อค้นและถูกทำลายลูกบิดประตูทางเข้าออกห้องที่เกิดเหตุมีสายเข็มขัดรัดไว้ไม่ให้คนเปิดเข้าไปในห้อง โดยจำเลยรับว่าเป็นคนทำขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้ตายหนีลงไปชั้นล่างแสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องการทำร้ายผู้ตาย แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ตายเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงจำเลยก็ตาม แต่เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดจำเลยเป็นฝ่ายก่อขึ้นก่อน ดังนั้น การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงไม่เป็นการป้องกัน”

พิพากษายืน

Share