คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อคำขอ/สัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมเป็นอำนาจของสำนักงานใหญ่ของโจทก์ที่ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นเป็นผู้พิจารณาอนุมัติสัญญา และเมื่อได้อนุมัติสัญญาแล้ว พร้อมกันนั้นสำนักงานใหญ่ของโจทก์ก็จะเปิดสัญญาณคลื่นวิทยุที่อยู่ที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ หลังจากนั้นจำเลยก็จะสามารถใช้บริการวิทยุคมนาคมตามคำขอที่ยื่นไว้ได้ การอนุมัติและการเปิดสัญญาณโดยสำนักงานใหญ่ของโจทก์ในลักษณะนี้ จึงเป็นการกระทำอันใดอันหนึ่งซึ่งมีผลเป็นการแสดงเจตนาสนองรับคำเสนอของจำเลยตามคำขอที่ได้ยื่นไว้ต่อสำนักงานสาขาหรือตัวแทนของโจทก์ แม้ถึงจะเป็นการแสดงเจตนาที่กระทำต่อจำเลยซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แต่ก็ถือได้ว่าตามปกติประเพณีการตกลงทำสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมระหว่างโจทก์กับจำเลยในลักษณะเช่นนี้ย่อมได้เกิดเป็นสัญญาขึ้นเมื่อสำนักงานใหญ่ของโจทก์ได้สนองรับคำเสนอโดยเปิดสัญญาณวิทยุคมนาคมที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ซึ่งมีผลทำให้จำเลยสามารถใช้บริการวิทยุคมนาคมจากโจทก์โดยไม่จำเป็นต้องมีคำบอกกล่าวสนองไปถึงจำเลยผู้เสนอตาม ป.พ.พ. มาตรา 361 วรรคสอง แต่ประการใดอีก ดังนั้น เมื่อสัญญาใช้บริการวิทยุคมนาคมระหว่างโจทก์จำเลยได้เกิดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นและโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บริการตามสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าศาลชั้นต้นเป็นศาลหนึ่งที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) ศาลชั้นต้นจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 3,350.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นเป็นศาลที่มูลคดีตามคำฟ้องของโจทก์เกิดขึ้นในเขตศาลหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว หนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินอันเป็นหนี้เหนือบุคคลนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) บัญญัติให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลก็ได้และคำว่ามูลคดีตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องตามสิทธินั้น ตามคำฟ้องของโจทก์และทางนำสืบของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นฟังมาได้ความว่า เมื่อจำเลยนำเครื่องวิทยุคมนาคมมาขอใช้บริการและทำคำขอ/สัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูลาร์จากสำนักงานสาขาหรือตัวแทนของโจทก์ สำนักงานสาขาหรือตัวแทนของโจทก์ก็จะเสนอคำขอ/สัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมดังกล่าวโดยวิธีโทรสารมาที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อสำนักงานใหญ่ของโจทก์พิจารณาอนุมัติสัญญาแล้ว พร้อมกันนั้นสำนักงานใหญ่ของโจทก์ก็จะเปิดสัญญาณคลื่นวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยแล้ว จำเลยก็จะสามารถใช้บริการวิทยุคมนาคมของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคำขอ/สัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมเป็นอำนาจของสำนักงานใหญ่ของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นเป็นผู้พิจารณาอนุมัติสัญญา และเมื่อได้อนุมัติสัญญาแล้ว พร้อมกันนั้นสำนักงานใหญ่ของโจทก์ก็จะเปิดสัญญาณคลื่นวิทยุที่อยู่ที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ หลังจากนั้นจำเลยก็จะสามารถใช้บริการวิทยุคมนาคมตามคำขอที่ยื่นไว้ได้ การอนุมัติและการเปิดสัญญาณโดยสำนักงานใหญ่ของโจทก์ในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็นการกระทำอันใดอันหนึ่งซึ่งมีผลเป็นการแสดงเจตนาสนองรับคำเสนอของจำเลยตามคำขอที่ได้ยื่นขอใช้บริการไว้ต่อสำนักงานสาขาหรือตัวแทนของโจทก์ แม้ถึงจะเป็นการแสดงเจตนาที่กระทำต่อจำเลยซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แต่ก็ถือได้ว่าตามปกติประเพณีการตกลงทำสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมระหว่างโจทก์กับจำเลยในลักษณะเช่นนี้ย่อมได้เกิดเป็นสัญญาขึ้นเมื่อสำนักงานใหญ่ของโจทก์ได้สนองรับคำเสนอโดยเปิดสัญญาณวิทยุคมนาคมที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ซึ่งมีผลทำให้จำเลยสามารถใช้บริการวิทยุคมนาคมจากโจทก์โดยไม่จำเป็นต้องมีคำบอกกล่าวสนองไปถึงจำเลยผู้เสนอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 361 วรรคสอง แต่ประการใดอีก ดังนั้น เมื่อสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมระหว่างโจทก์จำเลยได้เกิดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นและโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บริการตามสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าศาลชั้นต้นเป็นศาลหนึ่งที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) ศาลชั้นต้นจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่เห็นว่ามูลคดีไม่อยู่ในเขตศาลชั้นต้นนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share