คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมี น.ส.3 ของโจทก์ ต่อมา พ.ศ. 2511 ย. ได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนดผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ย. โฉนดออกให้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2513 และต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2514 ย. ได้ขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลย ดังนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ให้สันนิษฐานว่า ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ย. และจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องกัน จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานดังกล่าว ส่วนที่ดินโจทก์เป็นที่ น.ส.3 ผู้ยึดถือมีเพียงสิทธิครอบครองตลอดเวลาที่ยังคงยึดถืออยู่ เมื่อถูกรบกวนหรือถูกแย่งการครอบครองจะต้องฟ้องขอให้ปลดเปลื้องหรือเรียกคืนการครอบครองเสียภายใน 1 ปี ตามมาตรา 1374, 1375 เมื่อปรากฏว่าโจทก์เองไม่เคยเข้าไปครอบครองที่พิพาทจริงจัง เพิ่งรู้ว่ามีการบุกรุกออกโฉนดทับที่เมื่อโจทก์ไปขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของตนเมื่อต้นปี พ.ศ. 2513 และโจทก์จะขอเจรจากับ ย. เจ้าของที่ดินในขณะนั้นก็ถูกปฏิเสธ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่พิพาท แสดงว่าโจทก์รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองตั้งแต่ขณะนั้น โจทก์มิได้ดำเนินการอย่างไร คงปล่อยปละละเลยเพิ่งมาฟ้องคดีขอให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2517 เกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งสิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ๑ แปลง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ปรากฏว่านายยงเกียรติ ออกโฉนดที่ติดต่อด้านทิศเหนือ คือโฉนดเลขที่ ๑๒๑ ทับที่ดินโจทก์ และโอนที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลยพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกันไป โดยจำเลยรู้ว่าโฉนดออกทับที่โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ และให้เพิกถอนโฉนดที่ดินที่ ๑๒๑
จำเลยให้การว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๑ โดยซื้อจากนายยงเกียรติ์ โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต นายยงเกียรติมิได้ออกโฉนดทับที่โจทก์ การออกโฉนดได้กระทำถูกต้องตามระเบียบทางราชการ โจทก์ไม่เคยคัดค้าน และที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ทราบว่านายยงเกียรติ์และจำเลยบุกรุกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๒ ไม่ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายในกำหนด ๑ ปี คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายยงเกียรติ์ออกโฉนดทับที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ การโอนที่พิพาทให้จำเลยจึงไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์แก่จำเลย คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินที่ ๑๒๑ เฉพาะที่ดินที่เป็นส่วนของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายยงเกียรติ์นำรังวัดออกโฉนดที่ ๑๒๑ รุกล้ำที่พิพาทจริง โจทก์รู้ถึงการรุกล้ำเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ โจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาท เพิ่งฟ้องคดีเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ เกิน ๑ ปี ขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนการคอรบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ยังไม่เกิน ๑ ปี นับแต่วันจำเลยแย่งการครอบครอง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์ตามคำพยานโจทก์ประกอบรูปที่ดินของที่โจทก์จำเลย เชื่อว่าโจทก์เองไม่เคยเข้าไปครอบครองที่พิพาทจริงจัง โจทก์รู้ว่ามีการบุกรุกออกโฉนดทับที่เมื่อไปขอรังวัดเพื่อออกโฉนดในที่ดินของตนเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เมื่อจะขอเจรจากับนายยงเกียรติ์ก็ถูกปฏิเสธ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่พิพาท แสดงว่าโจทก์รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองตั้งแต่ขณะนั้น โจทก์มิได้ดำเนินการอย่างใด คงปล่อยปละละเลยเพิ่งมาฟ้องคดีเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เกิน ๑ ปีนับแต่ถูกแย่งสิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย
พิพากษายืน

Share