คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องเท่านั้นและจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้นไม่มีสิทธินำพยานจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคสองการที่ทนายความจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้ตัวโจทก์ดูประกอบการถามค้านตัวโจทก์ตัวโจทก์ไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวแล้วทนายความจำเลยทั้งสองส่งเอกสารนั้นต่อศาลชั้นต้นนั้นตัวโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายดังกล่าวสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจึงต้องห้ามมิให้รับฟังที่ศาลอุทธรณ์นำเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมจึงเป็นการไม่ชอบเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินของโจทก์ไปจำนวน 50,000 บาทตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ชำระเงินกู้คืนภายในวันที่ 1พฤษภาคม 2534 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยคืนโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 56,763.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ทั้ง สอง ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 56,763.69 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาทนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2534) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้จำเลยที่ 2ชำระแทนจนครบถ้วน
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ ที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำขอของโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองได้นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องเท่านั้น และจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธินำพยานจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง การที่ทนายความจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย ล.1 ให้ตัวโจทก์ดูประกอบการถามค้านตัวโจทก์ ตัวโจทก์ไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว แล้วทนายความจำเลยทั้งสองส่งเอกสารนั้นต่อศาลชั้นต้นเห็นได้ว่าตัวโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายดังกล่าว สำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย ล.1 จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง ที่ศาลอุทธรณ์นำเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมจึงเป็นการไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ได้ เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1ทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์จำนวน 50,000 บาท ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.2จำเลยที่ 1 รับเงินที่กู้ยืมแล้วจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การคงอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ ได้ลงชื่อในสัญญาที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share