คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องและจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธินำพยานจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร การที่ทนายจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์ดูประกอบการถามค้าน โจทก์ไม่ตอบคำถามแล้วทนายจำเลยทั้งสองส่งเอกสารนั้นต่อศาล แสดงว่าโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองเอกสารนั้นเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังการที่ศาลอุทธรณ์นำเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอมจึงไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 56,763.69 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 56,763.69 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2534) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ 2ชำระแทนจนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ ที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยที่ 1เป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำขอของโจทก์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองได้นั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องเท่านั้นและจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์เท่านั้นไม่มีสิทธินำพยานจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองการที่ทนายความจำเลยทั้งสองนำสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย ล.1 ให้ตัวโจทก์ดูประกอบการถามค้านตัวโจทก์ตัวโจทก์ไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวแล้วทนายความจำเลยทั้งสองส่งเอกสารนั้นต่อศาลชั้นต้น เห็นได้ว่าตัวโจทก์ไม่ได้เบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายดังกล่าวสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย ล.1 จึงต้องห้ามมิให้รับฟัง ที่ศาลอุทธรณ์นำเอกสารดังกล่าวมาวินิจฉัยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมจึงเป็นการไม่ชอบ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ได้ เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์จำนวน 50,000 บาทตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 1 รับเงินที่กู้ยืมแล้วจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ คงอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ได้ลงชื่อในสัญญาที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่า ฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share