คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 654/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่สัญญาประกันชีวิตจะเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 ต้องเป็นกรณีที่บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจ จะจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้ บอกปัด ไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จ ซึ่ง กรณีตามคำฟ้องของโจทก์ บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของเขานั้นคือบุตรโจทก์ หาใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ไม่ ดังนั้น แม้โจทก์จะละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความ จริง ที่ บุตร โจทก์เป็นโรคลมชักให้จำเลยผู้รับประกันภัยทราบ ก็ไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2527 โจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประกันชีวิตต่อกันโดยเด็กชายสุรชัย สมบัติ บุตรโจทก์เป็นผู้เอาประกัน โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ครบกำหนดสัญญาวันที่ 1กรกฎาคม 2524 ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2528 เด็กชายสุรชัยตกน้ำถึงแก่ความตาย โจทก์ขอรับเงินตามสัญญา จำเลยปฏิเสธ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 112,525 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เด็กชายสุรชัยไม่ได้ตกน้ำตายแต่ตายด้วยโรคลมชักโดยขณะโจทก์ขอเอาประกันชีวิตเด็กชายสุรชัย เด็กชายสุรชัยป่วยเป็นโรคนี้อยู่ แต่โจทก์กับเด็กชายสุรชัยไม่เปิดเผยข้อความจริงดังกล่าว ต่อมาโจทก์ขาดส่งเบี้ยประกันภัยเป็นเหตุให้สัญญาสิ้นผลเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2528 และโจทก์ได้ขอต่ออายุสัญญาเมื่อวันที่14 กันยายน 2528 ซึ่งขณะขอต่ออายุสัญญา เด็กชายสุรชัยก็ยังป่วยเป็นโรคลมชักอยู่แต่โจทก์ก็ยังคงปิดข้อความจริงดังกล่าว สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆียะจำเลยบอกล้างไปยังโจทก์แล้ว จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน112,525 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่31 กรกฎาคม 2527 เด็กชายสุรชัยยื่นคำขอประกันชีวิตต่อจำเลย โดยระบุว่า มีสุขภาพร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ดี จำเลยรับประกันและออกกรมธรรม์ให้ กำหนดชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน เดือนละ 100 บาททุกวันที่ 1 ของเดือน ครบสัญญาวันที่ 1 กรกฎาคม 2524 ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2528 ซึ่งสัญญาประกันชีวิตยังมีผลใช้บังคับอยู่เด็กชายสุรชัยได้ถึงแก่ความตาย โจทก์ขอรับเงินตามสัญญา จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระด้วยการบอกล้างสัญญาต่อโจทก์ โดยอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆียะแล้ววินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่า ขณะเด็กชายสุรชัยยื่นคำขอทำสัญญาประกันชีวิตต่อจำเลย ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะฟังว่าเด็กชายสุรชัยได้ป่วยเป็นโรคลมชักอยู่ก่อน ดังนั้นข้ออ้างของจำเลยที่ว่า สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะเพราะโจทก์และเด็กชายสุรชัยปกปิดความจริงเรื่องป่วยเป็นโรคลมชักอยู่ก่อนยื่นขอประกันชีวิตจึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อที่ 2 ที่จำเลยฎีกาว่า ความจริงสัญญาประกันชีวิตขาดผลบังคับลงเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2528 เนื่องจากโจทก์ขาดส่งเบี้ยประกันภัยงวดเดือนมิถุนายน 2528 แล้วได้ขอต่ออายุกรมธรรม์สัญญาใหม่เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2528 โดยโจทก์ละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงที่เด็กชายสุรชัยเป็นโรคลมชักให้จำเลยทราบซึ่งข้อความจริงดังกล่าวหากจำเลยได้ทราบก็จะบอกปัดไม่ยอมทำการต่อกรมธรรม์สัญญาให้นั้น เห็นว่า การที่สัญญาประกันชีวิตจะเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 นั้น ต้องเป็นกรณีที่บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จ ซึ่งกรณีตามคำฟ้องของโจทก์ บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็คือเด็กชายสุรชัยนั่นเอง หาใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ไม่ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังตามที่จำเลยฎีกาก็ไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกา.

Share