คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6529/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งอยู่โดยอาศัยสิทธิของ ส. กับพวกที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายจากโจทก์แล้วผิดสัญญาจะซื้อจะขายไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อจะขายเป็นเรื่องระหว่างโจทก์และ ส. กับพวก จำเลยมิได้เป็นคู่สัญญาไม่จำต้องปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวทั้งโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่า ส. กับพวกไม่ชำระเงินที่ค้างตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ ส.กับพวกชำระแล้วแต่ส. กับพวกไม่ชำระถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นอันเลิกกัน จำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิ ส. กับพวกจึงเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิเป็นละเมิด ดังนี้เหตุที่อ้างในฟ้องคดีนี้เป็นเหตุที่อ้างขึ้นใหม่คนละเหตุกับคดีก่อน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้จำเลยรับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตจาก ส. เสียค่าตอบแทนและครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ก็เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ซึ่งจะต้องมีการทำสัญญากันระหว่างเจ้าหนี้คือโจทก์กับลูกหนี้คนใหม่คือจำเลย เมื่อปรากฏว่าไม่ได้ทำ หนี้ใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น โจทก์กับจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กัน ส. กับพวกอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายเลิกกันแล้ว ส. กับพวกและจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่พิพาทต่อไป การที่จำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาทต่อมา จึงเป็นการละเมิดโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องขับไล่จำเลยนี้กับพวกรวม 5 คน ออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง คดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งห้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย เป็นการยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ และเนื่องจากมีข้อโต้แย้งตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งห้าออกจากที่พิพาท ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 458/2528 ของศาลชั้นต้นต่อมาโจทก์ทั้งสองจึงฟ้องขับไล่จำเลยนี้อีก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ทั้งสองและพิพากษายกฟ้อง ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 204/2533 ของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองเห็นว่าจำเลยรับโอนที่พิพาทมาจากนายสุดหรือสุดชา ซึ่งเป็นคู่สัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์จึงได้มีหนังสือบอกกล่าวให้นายสุดหรือสุดชาชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระ แต่นายสุดชาไม่ชำระภายในกำหนดเวลาตามหนังสือบอกกล่าว สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทจึงเป็นอันเลิกกันจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไป โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่พิพาทมาจากนายสุดหรือสุดชาแล้วเข้าทำประโยชน์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โจทก์ไม่เคยห้ามหรือเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเลย ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 204/2533 ของศาลชั้นต้น จำเลยรับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและครอบครองทำประโยชน์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 204/2533 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของนายสุดหรือสุดชากับพวกที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายจากโจทก์ แล้วผิดสัญญาจะซื้อจะขายไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินส่วนที่ค้างชำระแต่จำเลยไม่ยอมชำระถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นอันเลิกกัน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อจะขายเป็นเรื่องระหว่างโจทก์และนายสุดกับพวก จำเลยมิได้เป็นคู่สัญญาจึงไม่จำต้องปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าว ทั้งโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่านายสุดกับพวกไม่ชำระเงินที่ค้างชำระตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้นายสุดหรือสุดชากับพวกชำระแล้ว แต่นายสุดหรือสุดชากับพวกไม่ชำระถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นอันเลิกกัน จำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของนายสุดหรือสุดชาจึงเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดเห็นว่า เหตุที่อ้างมาในฟ้องคดีนี้เป็นเหตุที่อ้างขึ้นใหม่คนละเหตุกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 204/2533 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 204/2533 ของศาลชั้นต้น และวินิจฉัยต่อไปว่าแม้จำเลยรับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตจากนายสุดหรือสุดชาเสียค่าตอบแทนและเข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของก็เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ซึ่งจะต้องมีการทำสัญญากันระหว่างเจ้าหนี้คือโจทก์กับลูกหนี้คนใหม่คือจำเลย ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยไม่ได้ทำสัญญากันใหม่ หนี้ใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น โจทก์กับจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กันนายสุดหรือสุดชากับพวกและจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย อันเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายเลิกกันแล้ว นายสุดหรือสุดชากับพวกและจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่พิพาทต่อไป การที่จำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาทต่อมาจึงเป็นการละเมิด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
พิพากษากลับว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท

Share