คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6513/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่จะฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลนั้น ต้องมีสภาพเป็นบุคคล ดังที่ ป.วิ.พ. มาตรา 1 (11) บัญญัติไว้ว่า คู่ความ หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ซึ่งคำว่า บุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ มี ส. จดทะเบียนพาณิชย์เพื่อประกอบพาณิชยกิจ แต่มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์จึงมิใช่บุคคลธรรมดาและไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลได้
ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องในส่วนชื่อคู่ความและรายละเอียดในคำฟ้อง เป็นเพียงการระบุถึงตัวบุคคลที่เป็นผู้กระทำการแทนห้างหุ้นส่วนสามัญ ศ. เท่านั้น มิได้มีความหมายว่า ส. เป็นผู้ฟ้องคดีเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด ทั้งการขอแก้ไขคำฟ้องโดยการเปลี่ยนตัวบุคคลผู้เป็นโจทก์ มีผลเป็นการเพิ่มตัวบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความคนใหม่ ย่อมไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 67 และมาตรา 179 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 410,036.01 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 393,913.01 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 393,913.01 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 44,330.10 บาท นับแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 56,084.74 บาท นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 12,700.90 บาท นับแต่วันที่ 25 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 42,960.50 บาท นับแต่วันที่ 25 มีนาคม 2554 ของต้นเงิน 10,058 บาท นับแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ (ที่ถูก มีนาคม) 2554 ของต้นเงิน 36,765.20 บาท นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 4,365.60 บาท นับแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 3,049.50 บาท นับแต่วันที่ 6 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 36,647.50 บาท นับแต่วันที่ 9 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 60,134 บาท นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 1,733.40 บาท นับแต่วันที่ 13 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 5,735.20 บาท นับแต่วันที่ 15 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 14,177.50 บาท นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 12,401.30 บาท นับแต่วันที่ 17 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 37,932.57 บาท นับแต่วันที่ 18 เมษายน 2554 ของต้นเงิน 14,873 บาท นับแต่วันที่ 20 เมษายน 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 กันยายน 2554) ต้องไม่เกิน 2,398 บาท 2,254 บาท 518 บาท 1,763 บาท 410 บาท 1,571 บาท 187 บาท 134 บาท 136 บาท 2,721 บาท 73 บาท 258 บาท 653 บาท 574 บาท 1,763 บาท และ 701 บาท ตามลำดับ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ที่จำเลยเพิ่งยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น จำเลยก็มีสิทธิอุทธรณ์เป็นประเด็นขึ้นมาได้ และศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีอำนาจวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมามีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องในส่วนชื่อคู่ความ และรายละเอียดในคำฟ้องดังกล่าวเป็นเพียงการระบุถึงตัวบุคคลที่เป็นผู้กระทำการแทน ห้างหุ้นส่วนสามัญศรีทรัพย์เจริญเท่านั้น มิได้มีความหมายว่า นายสุพรชัยเป็นผู้ฟ้องคดีเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด ทั้งการขอแก้ไขคำฟ้องโดยการเปลี่ยนตัวบุคคลผู้เป็นโจทก์ มีผลเป็นการเพิ่มตัวบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความคนใหม่ ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67 และมาตรา 179 ด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share