คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตั้งแต่วันทำสัญญาเพราะเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งไม่มีคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว อีกทั้งข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย ไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าจะไปทำการโอนที่ดินกันเมื่อไร จึงตกเป็นโมฆะตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9จำเลยได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์แล้วซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้จึงไม่ชอบ
แม้ที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินมือเปล่า ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วไม่อาจโอนกันได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9 ก็ตาม แต่ย่อมโอนไปซึ่งการครอบครองได้ โดยการส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 สัญญาซื้อขายจึงไม่ตกเป็นโมฆะ โจทก์มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อปี 2512 โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินมือเปล่าจากจำเลยในนามของโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 50 ไร่เศษ ต่อมาปี 2521 โจทก์ทั้งสองได้ขอออกโฉนดที่ดินทั้งแปลง แต่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้เพียง 41 ไร่เศษคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 6191 ส่วนที่เหลืออีก 19 ไร่เศษ ทางราชการอ้างว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ประจำหมู่บ้านจึงไม่ออกโฉนดให้ ต่อมาปี 2533ทางราชการได้ประกาศว่าที่ดินดังกล่าวมิใช่ที่สาธารณประโยชน์ โจทก์ทั้งสองจึงได้เข้าครอบครองอีก แต่โจทก์ทั้งสองได้อนุญาตให้จำเลยเข้าทำกินชั่วคราวต่อมาโจทก์ทั้งสองให้จำเลยและบริวารออกไป แต่จำเลยและบริวารเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย หากให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไป ห้ามยุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง

จำเลยให้การว่า จำเลยเคยขายที่ดินให้โจทก์ที่ 2 เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ซึ่งต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 6191 แล้วจำเลยได้ย้ายครอบครัวไปทำกินที่อื่น ต่อมาปี 2533 จำเลยได้กลับมาและขออาศัยญาติทำไร่ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของนายสำเภา ชมชื่น 11 ไร่เศษ และเป็นของนางนิ้ม ไกรเทพ7 ไร่เศษ จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอดไม่เคยขออนุญาตจากโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองถูกแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี โจทก์ทั้งสองไม่ได้ฟ้องบังคับตามสัญญาซื้อขายภายใน 10 ปี นับตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย โจทก์ทั้งสองไม่ได้บอกกล่าวก่อนฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ให้จำเลยใช้เงินเดือนละ 1,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินและออกไปจากที่ดินพิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ตามพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง และที่อุทธรณ์ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีหลักฐานการชำระเงินตามเอกสารหมาย จ.2ขัดต่อความสงบเรียบร้อยเป็นโมฆะ และฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีหลักฐานการชำระเงินตามเอกสารหมาย จ.2 ตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตั้งแต่วันทำสัญญา (17 กรกฎาคม 2512) เพราะเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งไม่มีคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว อีกทั้งข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าจะไปทำการโอนที่ดินกันเมื่อไร จึงตกเป็นโมฆะตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9 นั้น เห็นว่า จำเลยได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์แล้ว ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่วินิจฉัยให้โดยเห็นว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ และเห็นว่าแม้ที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์ที่ 1 และจำเลยเอกสารหมายจ.1 ซึ่งมีหลักฐานการชำระเงินตามเอกสารหมาย จ.2 จะเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วไม่อาจโอนกันได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 ก็ตามแต่ย่อมโอนไปซึ่งการครอบครองได้โดยการส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีหลักฐานการชำระเงินตามเอกสารหมาย จ.2 จึงไม่ตกเป็นโมฆะ โจทก์มีอำนาจฟ้องตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 325/2519 ระหว่างนายกูสะอาด มณีกามันโจทก์ นายดาโร้ย เบ็ญหมีนหรือเบ็นหมีน กับพวก จำเลย ที่จำเลยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2670/2516 ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share