คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6500/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง บัญญัติให้เจ้าหนี้มีสิทธินำคดีที่ศาลไม่รับหรือคืนหรือยกฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลไปฟ้องใหม่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด ย่อมหมายถึงคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านให้คู่ความฟังแล้ว เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2547 ซึ่งไม่ใช่วันนัดพิจารณาหรือนัดฟังคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 อันเป็นวันที่ศาลนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์มาศาลและลงลายมือชื่อทราบคำพิพากษา กรณีถือว่าทนายโจทก์เพิ่งทราบคำพิพากษาในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลชั้นต้นในคดีนี้วันที่ 4 เมษายน 2548 ซึ่งอยู่ในกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้บัตรเครดิตแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 58,077.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 37,363.93 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การยอมรับว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตตามฟ้องจริง แต่โจทก์ได้นำมูลหนี้ในคดีนี้ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงพระนครใต้เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2547 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2547 ศาลแขวงพระนครใต้มีคำวินิจฉัยว่า สถานที่ที่มูลคดีเกิดและภูมิลำเนาของจำเลยล้วนอยู่นอกเขตอำนาจศาลแขวงพระนครใต้ จึงพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ โจทก์ได้มาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2548 ซึ่งเกิน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลแขวงพระนครใต้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นที่สุด คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคู่ความทั้งสองฝ่ายท้ากันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเพียงประเด็นเดียวว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยจึงต้องแพ้ตามคำท้า พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 58,077.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 37,363.93 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 4 เมษายน 2548) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงพระนครใต้เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2547 ศาลแขวงพระนครใต้มีคำสั่งรับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 9 นาฬิกา ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2547 ซึ่งยังไม่ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลแขวงพระนครใต้ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่เนื่องจากศาลแขวงพระนครใต้เห็นว่ามูลคดีและภูมิลำเนาของจำเลยไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครใต้ และทนายโจทก์ลงลายมือชื่อทราบคำพิพากษาในภายหลังโดยลงชื่อทราบคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 อันเป็นวันที่ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์ได้นำมูลหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในคดีนี้เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2548 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่คดีนั้นศาลไม่รับหรือคืนหรือให้ยกคำฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล หรือศาลให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ และปรากฏว่าอายุความครบกำหนดไปแล้วในระหว่างการพิจารณาหรือจะครบกำหนดภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด ให้เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นว่า เจ้าหนี้มีสิทธินำคดีไปฟ้องใหม่ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด ซึ่งหมายถึงคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านให้คู่ความฟังแล้ว คดีนี้ได้ความตามเอกสารหมาย จ.2 ว่าศาลแขวงพระนครใต้พิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2547 แต่วันดังกล่าวไม่ใช่วันนัดพิจารณาหรือนัดฟังคำพิพากษา จึงไม่อาจถือว่าวันที่ 9 ธันวาคม 2547 เป็นวันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์ฟัง ต่อมาเมื่อถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 อันเป็นวันที่ศาลแขวงพระนครใต้ได้นัดสืบพยานโจทก์ไว้ ทนายโจทก์จึงได้มาลงลายมือชื่อทราบคำพิพากษา กรณีถือว่าทนายโจทก์เพิ่งทราบคำพิพากษาในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 หาใช่ว่าทนายโจทก์ทราบคำพิพากษาในวันที่ 9 ธันวาคม 2547 ดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ เพราะวันที่ 9 ธันวาคม 2547 มิใช่เป็นวันนัดให้ทนายโจทก์มาศาล จึงจะถือว่าทนายโจทก์ต้องทราบกระบวนพิจารณาในวันนั้นไม่ได้ คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ การที่ทนายโจทก์เพิ่งทราบคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 แล้วโจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลชั้นต้นในคดีนี้เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2548 จึงยังอยู่ภายในกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องแพ้ตามคำท้าชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share